6/29/13

30 มิย.2556 จากลูกคนเก็บขยะมาเป็นดร.วิศวะฯ_ดร.กุลชาติ จุลเพ็ญ_ปริญญาธรรม นำสุข สู่สำเร็จ


30 มิย.2556 ลูกคนเก็บขยะมาเป็นดร.วิศวะฯ_ดร.กุลชาติ จุลเพ็ญ_ปริญญาธรรม นำสุข สู่สำเร็จ
วันที่ 30 มิถุนายน 2556 ผมนายพันธุ์ทอง จันทร์สว่าง ขอร่วมชื่นชมกับ คนดีที่มีปริญญาธรรมในหัวใจ ที่ยิ่งใหญ่ของ ชายคนนี้
หนึ่งใน 20 คนหัวใจแกร่ง แห่งปี
ขอบพระคุณ Nual Nuan ที่นำมาร่วม Share ให้ได้รับทราบ
ขอบพระคุณ ข้อมูล เรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม ความว่า
จากเด็กเร่ร่อนที่อาศัยอยู่กับแม่ที่ประกอบอาชีพเก็บขยะขาย ใครจะไปคาคดิดว่า ในอนาคตข้างหน้าเขาจะสามารถคว้าใบปริญญามาให้แม่ได้ชื่นชมสมใจ หนำซ้ำยังเป็นปริญญาเอกที่ทำให้เด็กชายคนนี้ภูมิใจอย่างที่สุดในฐานะด็อกเตอร์ เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2555 ที่ผ่านมา รายการเจาะใจ ทาง ททบ.5 จึงได้เชิญชายคนนี้มาร่วมพูดคุย ปัจจุบันเขาคืออาจารย์ภาควิชาวิศวอุตสาหการ ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี..."ดร.กุลชาติ จุลเพ็ญ"
จะว่าไปเรื่องราวของอาจารย์กุลชาติก็เหมือนกับนิยายเรื่องหนึ่งที่เริ่มต้นมาด้วยความยากลำบาก แต่เพราะความพยายามและความตั้งใจ ทำให้เขาประสบความสำเร็จในตอนท้าย โดยอาจารย์ เล่าให้ฟังว่า ครอบครัวของเขาเป็นชาวชุมพร เขาจำความได้ตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ว่ามีพี่น้องทั้งหมด 5 คน เขาเป็นลูกคนที่ 4 คุณพ่อทำงานเป็นคนขับรถทัวร์ ส่วนคุณแม่เป็นแม่บ้าน ชีวิตในช่วงนั้นมีความสุขมาก แต่หลังจากนั้นได้ 2 ปี พ่อกับแม่ก็มีปัญหาทะเลาะกัน เขาเห็นพ่อใช้ค้อนทุบรูปภาพของตัวเองพร้อมกับประกาศว่า "ต่อจากนี้จะไม่มีพ่ออยู่ในบ้านแล้ว" ก่อนที่พ่อจะพาน้องสาวคนเล็กไปด้วย และไม่กลับมาที่บ้านอีกเลย 
หลังจากคุณพ่อและคุณแม่ของอาจารย์แยกทางกัน คุณแม่ซึ่งต้องเลี้ยงดูลูก ๆ อีก 4 คน ไม่มีเงินพอจะเช่าบ้านอยู่ต่อ จึงได้ไปเช่าโกดังเก่า ๆ อยู่ ในราคาเดือนละ 350 บาท พร้อมกับออกไปทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่ต่างจังหวัด เพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว และส่งเงินกลับมาให้ลูก ๆ เดือนละ 500 บาท เท่ากับว่าในแต่ละเดือน 4 พี่น้องจะมีเงินเหลือใช้เพียงแค่ 150 บาทเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากทนความลำบากได้เพียงไม่กี่เดือน พี่สาวคนโต และพี่ชายของอาจารย์ก็ตัดสินใจหนีออกจากโกดังไปใช้ชีวิตเอาดาบหน้า เหลือเพียงเขากับพี่สาวอีกคนที่ต้องดิ้นรนใช้ชีวิตต่อไป แม้กระทั่งบากหน้าไปขอข้าวข้างบ้านกิน แต่ทำอย่างนี้อยู่เพียงแค่ 2 เดือน ในที่สุด พี่สาวคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็หายออกจากบ้านไปอีก ทิ้งอาจารย์ในวัย 6 ขวบ ให้อยู่ที่โกดังเพียงคนเดียว ซึ่งอาจารย์บอกว่า ช่วงนั้นเป็นชีวิตที่มีอิสระมาก เขาเอาแต่นอนทั้งวัน จนหิวถึงได้ลุกไปที่ บขส. เพื่อหาข้าวที่คนกินเหลือประทังความหิว ซึ่งเขาก็ถูกแม่ค้าไล่อยู่บ่อยๆ จนชิน
อาจารย์ เล่าต่อว่า ในวัยเด็กเขายังเคยไปเดินเร่ร่อนขอเงินจากผู้โดยสารตามท่ารถ ถ้าได้เงินก็จะนำไปซื้อข้าวกิน บ่าย ๆ ก็ไปเล่นเกมกับเพื่อนตามประสาเด็ก ๆ พอตกเย็นก็กลับไปนอนที่โกดัง แต่อยู่ไปสักพัก โกดังก็ถูกตัดน้ำ ตัดไฟ เพราะไม่มีใครไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ แต่อาจารย์ก็ยังคงอยู่ในโกดังแห่งนั้น ไม่ได้อาบน้ำ แปรงฟัน และไม่กล้าไปเรียน เพราะทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงชุดนักเรียนเพียงชุดเดียว ซึ่งสภาพก็ดูมอมแมม ทำให้เพื่อน ๆ ไม่มีใครกล้าคุยด้วย แต่เขาจะเลือกไปโรงเรียนเฉพาะในวันที่โรงเรียนแจกนมถั่วเหลืองเท่านั้น เพราะช่วยคลายความหิวให้ตัวเองได้
ตลอดชีวิตในช่วงวัยเด็ก อาจารย์กุลชาติต้องต่อสู้กับชีวิตมาตลอด ทั้งไปขอข้าวกินตามวัด หรือตามงานเทศกาลต่าง ๆ แม้กระทั่งเป็นเด็กเก็บกระทง เด็กรับใช้วิ่งซื้อของ เรียกว่าทำทุกอย่างไม่ต่างจากเด็กจรจัดทั่วไป แต่ถึงชีวิตจะลำบาก ถูกตำรวจจับก็หลายครั้ง เขาก็ไม่คิดย้ายไปอยู่กับเพื่อนเหมือนกับพี่ชายพี่สาวที่หนีไปก่อนหน้านี้ เหตุผลเดียวก็คือ เขาต้องการรอแม่ เพราะกลัววันใดที่แม่กลับมาแล้ว จะไม่เจอลูก ๆ เหลืออยู่เลยแม้แต่คนเดียว
และหลังจากใช้ชีวิตเพียงลำพังมา 2 ปี ในที่สุด "แม่" ก็กลับมาจริง ๆ และบอกว่าจะไม่ทิ้งลูกไปอีกแล้ว อาจารย์บอกว่า นี่คือช่วงเวลาที่เขามีความสุขที่สุด แม้จะถูกแม่ตีบ่อย ๆ เพราะติดนิสัยไม่ยอมตื่นไปโรงเรียน แต่เขาก็เข้าใจว่า แม่หวังดีเพราะอยากให้เขามีความรู้ ขณะเดียวกัน เขากับแม่ก็ช่วยกันเก็บขยะขายของหาเงินเลี้ยงชีพไปพร้อม ๆ กัน และแม่ก็พร่ำสอนให้เขาเลิกเป็นขโมย
เมื่อถามจุดเปลี่ยนของชีวิตที่ทำให้เขาขวนขวายเรียนหนังสือคืออะไร? ดร.กุลชาติ บอกว่า เพราะวันหนึ่งส้วมที่บ้านเต็ม ราดเท่าไหร่ก็ไม่ลง แม่ของเขาตัดสินใจใช้ค้อนทุบบ่อเกรอะด้วยตัวเอง และใช้กระป๋องสีตักสิ่งปฏิกูลยกไปทิ้งทีละถัง ๆ ตลอดทั้งคืน
"ผมมองเห็นแม่ทำแบบนั้นทั้งคืน ผมคิดในใจว่าท่านยอมทำขนาดนี้เพื่อลูก เขาแค่อยากให้ผมไปเรียนเอง ตีผมทุกวันเพื่อให้ผมไปเรียน ทำไมผมถึงไม่ยอมไป เทียบแล้วแม่ลำบากกว่าเรามาก ก็เลยตั้งเป้าจะไปเรียนให้ได้" อาจารย์กุลชาติ บอก 
หลังจากนั้น ดร.กุลชาติ ก็ปฏิวัติตัวเองใหม่ ตื่นแต่เช้า ออกไปช่วยแม่เก็บขยะตั้งแต่ตี 4 เสร็จสรรพ 7 โมงเช้าก็ไปเข้าห้องเรียน เพื่อตั้งใจเรียนหนังสือ กระทั่งวันหนึ่งความพยายามของเขาก็ประสบความสำเร็จ เมื่อสามารถสอบได้เป็นที่ 5 ของห้อง จากเดิมที่เคยได้ที่โหล่ และยังได้รับทุนเด็กเรียนดีมาช่วยเหลือ ในตอนนั้น ดร.กุลชาติ ตั้งใจจะเรียนสายอาชีพ เพื่อจะเป็นช่างเชื่อม จะได้หาเงินมาเลี้ยงดูแม่

ขณะเดียวกัน
นอกจากรายการจะได้เชิญ ดร.กุลชาติ มาร่วมพูดคุยแล้ว ยังได้เชิญคุณแม่ของอาจารย์มาเล่าถึงช่วงชีวิตที่ผ่านมาด้วย โดยคุณแม่บุษรี จุลเพ็ญ เล่าว่า ที่เน้นย้ำให้ลูกชายต้องเรียนหนังสือ เพราะถูกคนรอบข้างสบประมาทว่า เธอไม่เอาลูกแล้ว ทำให้ลูกเป็นเด็กจรจัด เธอจึงตั้งใจจะเลี้ยงลูกให้ได้ดี เพื่อลบคำสบประมาทดังกล่าว และสิ่งที่จะทำให้ลูกได้ดีได้ก็คือการเรียนหนังสือ
คุณแม่บอกอีกว่า คนส่วนใหญ่มองว่า พวกเขาเป็นคนขี้ขโมย ไม่น่าคบหา ซึ่งเธอก็ได้สอนลูกไปว่า ไม่ต้องอายที่คนมองแบบนั้น แต่เราต้องอยู่ให้ได้ เพื่อพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่า เราไม่ได้เป็นแบบนั้น ลูกแค่เป็นเด็กหลงทางไปชั่วขณะเท่านั้น 
แต่ทว่า หลังจากอาจารย์กุลชาติเรียนจบชั้น ปวช. ก็มาพบว่า คุณแม่ป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกต้องมารักษาตัวที่กรุงเทพมหานคร เหตุการณ์นั้นทำให้เขาตัดสินใจศึกษาระดับชั้น ปวส. ต่อ โดยคิดว่า หากเรียนจบแค่ชั้น ปวช. คงได้เงินเดือนไม่เท่าไหร่ แต่หากเรียนต่อน่าจะได้เงินเดือนมากขึ้น เขาจึงตัดสินใจไปเรียนต่อ ปวส. ที่สงขลา โดยขอให้แม่ช่วยส่งเสียให้เดือนละ 2,000 บาท แต่เมื่อวันหนึ่ง เขารู้ว่าแม่ส่งเงินให้ไม่ไหวแล้ว เขาจึงตัดสินใจไปทำงานกะกลางคืนที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น เพื่อส่งเสียตัวเอง
ในที่สุด อาจารย์กุลชาติก็เรียนจบชั้น ปวส. แต่มีความคิดจะเรียนต่ออีก 2 ปี เพื่อเอาวุฒิปริญญาตรีด้านวิศวกรรม คุณแม่จึงตัดสินใจไปกู้เงินหมื่นมาจ่ายค่าเทอมให้อาจารย์ได้เรียนวิศวกรรมสมใจ กระทั่งวันหนึ่ง อาจารย์ตัดสินใจเลือกรับทุนของมหาวิทยาลัย เพื่อจะได้เรียนต่อ แต่ต้องแลกกับการใช้ทุนด้วยการเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยที่ตอนนั้นได้เงินเดือนราว ๆ 6 พันกว่าบาท ต่างจากอาชีพวิศวกรที่จะได้เงินเดือนสูงถึง 15,000 บาท แต่อาจารย์ก็ยินยอม เพื่อจะได้มีโอกาสได้เรียนหนังสือให้สูงขึ้น
หลังจากเรียนจบชั้นปริญญาตรี อาจารย์บอกว่า เป็นความภูมิใจที่สุด เพราะทำให้แม่ได้เห็นภาพเขารับปริญญาจนได้ ขณะที่เด็ก ๆ รุ่นเดียวกันในละแวกบ้านไม่มีใครได้รับปริญญาเลย หลังจากนั้น เขาก็ทำงานเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาชั้นปริญญาตรี แต่เพราะตัวเองก็จบชั้นปริญญาตรีเช่นกัน ทำให้วิชาพื้นฐานที่สอนชนกัน จึงตัดสินใจเรียนต่อเพื่อให้มีวุฒิสูงกว่าปริญญาตรี เขาจึงยื่นขอทุนเรียนปริญญาโทจากมหาวิทยาลัย
เมื่อเรียนจบปริญญาโทแล้ว ทางมหาวิทยาลัยมีโครงการจะเปิดหลักสูตรปริญญาโทอีก ดังนั้นจึงต้องหาบุคลากรที่มีวุฒิการศึกษาสูงกว่าปริญญาโท เพื่อมาสอนนักศึกษา อาจารย์กุลชาติจึงตัดสินใจรับทุนไปเรียนต่อปริญญาเอกที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ก็เจอปัญหาใหญ่ เพราะเขาไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลย แต่สุดท้ายอาจารย์ก็พยายามขวนขวายจนคว้าปริญญาเอกมาได้สำเร็จ
ทั้งนี้ อาจารย์ตั้งใจไว้ว่าจะพาแม่มางานรับปริญญาที่ญี่ปุ่นให้ได้ เขาจึงเจียดเงินทุนการศึกษาเก็บไว้เป็นค่าตั๋วเครื่องบิน และค่าอื่น ๆ เพื่อให้แม่เดินทางมาเห็นความสำเร็จของเขา พร้อมกับพาครอบครัวไปเที่ยวด้วยกัน
"วันรับปริญญา ตอนที่ออกมาจากหอประชุม พอเปิดประตูปุ๊บ ผมเห็นแม่ยืนหน้าประตู ความรู้สึกแรกที่อยากเข้าไปทำก็คือ อยากเข้าไปกราบเท้าแม่มาก ที่ผมมาถึงตรงนี้ได้ ถ้าไม่มีแม่วันนั้นที่คอยเคี่ยวเข็ญเรามาขนาดนี้ ผมคงมาไม่ถึงวันนี้ได้ ผมเห็นแม่ปุ๊บ ผมก้มลงกราบเลย คนญี่ปุ่นงงกันหมดว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนแม่ผมก็ร้องไห้ด้วยความซาบซึ้ง" ดร.กุลชาติ เล่าวินาทีแห่งความประทับใจ
ขณะที่คุณแม่ก็บอกว่า ในวันนั้น น้ำตาที่ไหลออกมาเป็นน้ำตาของความดีใจที่รอมานานหลายปี และเธอก็สอนลูกเสมอว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้
คำสอนของคุณแม่ที่จดจำอยู่ในใจเสมอมา ทำให้ในวันนี้ ดร.กุลชาติ สามารถพิสูจน์ตัวเองให้เห็นแล้วว่า "คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้" นี่ไม่ใช่คำพูดที่เกินความจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะจากต้นทุนชีวิตติดลบที่ต้องเกิดมากลายเป็นเด็กเร่ร่อน ขออาหารคนอื่นกินประทังหิวไปวัน ๆ แต่มาถึงวันหนึ่ง เขาตัดสินใจเลือกเดินในเส้นทางที่จะเป็นคนดี และใฝ่เรียน ทำให้ ณ วันนี้ เด็กชายเร่ร่อนคนนั้นได้กลายมาเป็น "ดร.กุลชาติ จุลเพ็ญ"
"มีคนถามผมเยอะว่าชีวิตที่ผ่านมา ผมได้แง่คิดอะไรบ้าง อะไรมันสอนผมบ้าง ผมก็พยายามคิดหาคำตอบให้กับตัวเองเหมือนกันว่าอะไรที่ผมต่างจากคนอื่น ผมมองว่า มันก็คือคำพูดที่ทุกคนเคยได้ยินกันมาเสมอว่า ความลำบากสอนให้คุณอดทน ความลำบากสอนให้คุณพยายาม สอนให้คุณมีเป้าหมายในชีวิต ถ้าไม่ลำบากก็ไม่เจอสิ่งนั้ ผมถือว่าผมโชคดีที่เกิดมาจน ผมขาดโอกาสจากความจน เราต้องสร้างโอกาสให้กับตัวเอง ทำตัวเองให้พร้อม ทำขึ้นมาเองกับมือแล้วมันจะมีความภาคภูมิใจมากกว่า" ...นี่คือเรื่องจริงที่ยิ่งกว่านิยายจากชีวิตของ ดร.กุลชาติ จุลเพ็ญ 

ขอบพระคุณ ข้อมูล เรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ LadyBimbettes สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

มีคนร่วมเป็นกำลังใจ อาทิเช่น
แจกันหนึ่งใบ กับหัวใจหนึ่งดวง ยินดีด้วยค่ะ ดร.มาถึงวันนี้ได้ เพราะดร.มีปริญญาทางธรรมเป็นพื้นฐานมาก่อน จนสามารถคว้าปริญญาทางโลกได้ ชีวิตรันทดขนาดนี้ ถ้่าไม่ได้ปริญญาธรรม ไม่มี ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา หลายคนที่ชีวิตผ่านชะตากรรมขนาดนี้ก็ผ่านพ้นมาจนมีวันนี้ได้ยากแน่นอน บางคนบ้านรวย ทุกอย่างพร้อม แต่ขาดปริญญาทางธรรมนำทางก็มาไม่ถึงจุดที่ดร.กำลังยืนอยู่ตรงนี้ค่ะ ชื่นชมมากๆ ค่ะ
Chanokporn Suklap ขอชื่นชม ดร.กุลชาติ จุลเพ็ญ คุณคือสุดยอดของคนที่ใช้ความพยายามจนประสบความสำเร็จ..ขอแชร์เรื่องราวที่ดีไปสอนลูกและลูกศิษย์ในมหาวิทยาลัยนะค่ะ
Thanaporn Kraiwisut ขอชื่นชมค่ะ คนยอดคน สุดยอดของชีวิต น่าเป็นแบบอย่างจริงๆ คุณโชคดีมากที่ตอนเป็นเด็กคุณแม่กลับมาก่อนที่คุณจะหลงเดินทางผิดไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เพราะเด็กที่ถูกทอดทิ้งหลายๆคน ถูกคนชั่วหลอกใช้บ่อยๆ
Pantong Junsawang ผมว่า ผ่าน อะไร ต่อมิอะไรมากมากแล้ว เทียบกับท่าน ดร.ที่มีปริญญาธรรม ประจำตัว ประจำใจมาตลอด ผมขอคารวะด้วยความจริงใจครับ




30 มิย.2556 บำเพ็ญกุศล 100 วัน พระครูวิสณฑ์ฯ(หลวงพ่อบุญมี คำภาวัดบกน้อย

30 มิย.2556 บำเพ็ญกุศล 100 วัน พระครูวิสณฑ์ฯ(หลวงพ่อบุญมี คำภาวัดบกน้อย
วันที่ 30 มิถุนายน 2556 แรม 7 ค่ำ เดือน 7 ผมนายพันธุ์ทอง จันทร์สว่าง มีกำหนดการ ไปพร้อมกับ ภรรยา นางอริยวรรณ จันทร์สว่าง ลูกชาย นายภูมิพันธุ์ จันทร์สว่าง และสมาชิกลูกๆ ครอบครัว จันทร์สว่าง เข้าร่วม กิจกรรม การบำเพ็ญกุศล ครบ 100 วัน มรณะภาพ และ งานทอดถวายผ้าป่าสามัคคีสร้าง มณฑปบรรจุสรีระ หลวงพ่อพระครูวิสณฑ์ธรรมาภรณ์ (หลวงพ่อบุญมี คำภา) อดีต เจ้าคณะอำเภอคำเขื่อนแก้ว และ อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านบกน้อย ซึ่ง นายพุทธา รวมธรรม ผู้ใหญ่บ้านบ้านบกน้อย และคณะได้จัดขึ้น ณ วัดบ้านบกน้อย หมู่ 7 บ้านบกน้อย ตำบลดงแคนใหญ่ อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร
ประธานสงฆ์ โดย ท่านเจ้าคุณ พระราชรัตนกวี (สำลี คุตตะสีโล) เจ้าคณะจังหวัดยโสธร
ประธานฝ่ายฆราวาสโดย นายสมเพชร  สร้อยสระคู นายอำเภอคำเขื่อนแก้ว
ตัวแทนผู้ร่วมงาน ถวายกัณฑ์เทศน์ โดย คุณป้าสำรวม ชูแก้ว ทายิกา ผู้มีจิตใจเป็นบุญุศล เสมอมา ประจำบ้านบกน้อย 
            บุคคลที่หาได้ยากยิ่ง มี 2 ประเภท คือ ความเป็นบุพการีบุคคล และ กตัญญู กติเวทิตาบุคคล 8ogikมากมาย ต่างจิตใจ ต่างอัธยาศัย แต่บุคคลที่ดีพร้อม ซึ่งหาได้ยากในโลกนี้ มีเพียง 2 ประเภทเท่านั้น คือ
1. บุพการีบุคคล ผู้ทำอุปการะก่อน
2. กตัญญูกตเวทีบุคคล ผู้รู้อุปการะที่ท่านทำแล้วทำตอบแทน 
                   เหตุผลที่คนสองประเภทนี้หาได้ยาก คือฝ่ายหนึ่งทำอุปการะก่อน แต่อีกฝ่ายหนึ่งได้รับแล้วแต่ไม่ตอบแทน ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติต่อกันไม่สม่ำเสมอ เพราะคนเรานั้นถูกอวิชชาและตัณหาครอบงำจึงมุ่งแต่ประโยชน์ตนฝ่ายเดียว เมื่อตนได้รับความสุขแล้ว ไม่คิดแลเหลียวผู้อื่น จึงเป็นการยากที่จะเป็นบุพการี
                   ส่วนผู้ที่ได้รับอุปการะจากผู้อื่นแล้วนั้น โดยมาก มักรู้จักแต่คุณ ไม่รู้จักตอบแทน จึงเป็นการยากเช่นกันที่จะทำตนให้เป็นผู้กตัญญูกตเวทีต่อบุพพการีได้ 
                   บุพพการีบุคคล ผู้ทำอุปการะก่อน หมายถึงบุคคลผู้มีอัธยาศัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี มีจิตประกอบด้วยความรัก ความปรารถนาดี มุ่งกระทำอุปการคุณ หวังความสุขความเจริญต่อผู้อื่น โดยไม่หวังผลตอบแทนในภายหลัง ซึ่ง จำแนกได้ เป็น 4 ประเภท คือ  1. มารดาบิดา  2. ครูอาจารย์  3. พระมหากษัตริย์  4. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 
                   มารดาบิดา เป็นบุพการีของบุตร ธิดา ท่านเป็นผู้ให้กำเนิดชีวิตของบุตรธิดา บำรุงเลี้ยงดูให้ได้รับความสุข คอยห้ามปรามไม่ให้กระทำความชั่ว แนะนำพร่ำสอนให้ตั้งอยู่ในความดี ให้ศึกษาวิชาความรู้ตามสมควรแก่ฐานะ จัดหาคู่ครองที่ดีให้ และมอบทรัพย์สมบัติให้ในเวลาอันเหมาะสม นับว่ามีพระคุณอย่างใหญ่หลวง 
                   ครูอาจารย์ เป็นบุพการีของศิษย์ เพราะเป็นผู้อนุเคราะห์ศิษย์ด้วยการแนะนำสั่งสอนต่อจากพ่อแม่ ให้ศิษย์รู้ว่าสิ่งใดดี มีประโยชน์ สิ่งใดไม่ดี ไม่มีประโยชน์ มีโทษ ควรหรือไม่ควรประพฤติ 
                   พระมหากษัตริย์  เป็นบุพการีของพสกนิกร เพราะทรงเป็นผู้ประกอบด้วยพรหมวิหารธรรม ทรงบำเพ็ญทศพิธราชธรรม วางพระองค์เหมาะสม ทรงอดทนต่อกิเลสและทุกข์นานาประการ ไม่ทรงกริ้วโกรธโดยไร้เหตุผล ไม่ทรงเบียดเบียนให้ได้รับความเดือดร้อน ไม่ทรงประพฤติผิดทำนองคลองธรรม ทรงปกครองพสกนิกรโดยไม่ลำเอียง และทรงมุ่งประโยชน์สุขของประชาชนเป็นสำคัญ 
                   พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นบุพการีของพุทธบริษัท เพราะทรงมีพระกรุณาคุณแก่พุทธบริษัทอย่างใหญ่หลวง เมื่อตรัสรู้แล้วทรงเมตตาแสดงธรรมสั่งสอนสรรพสัตว์ให้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยพระโอวาทอันเป็นหลักสำคัญ 3 ประการ คือ ทรงสอนให้ละชั่วทุกอย่าง บำเพ็ญความดีทุกประการ และทำจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลสทั้งปวง 
                   กตัญญูกตเวทีบุคคล คือผู้รู้อุปการะที่ท่านทำแล้วทำตอบแทนท่าน บุคคลที่รู้จักบุญคุณของผู้อื่นที่ทำแล้วแก่ตน โดยรู้คุณค่าแห่งการทำความดีของผู้อื่นและกระทำตอบแทน แสดงออกด้วยวิธีสุจริตธรรมเป็นการบูชาคุณความดีของท่าน แล้วมุ่งทำตอบแทนในภายหลัง เป็นการประกาศเปิดเผยคุณของบุพการีให้ผู้อื่นรู้ เปรียบเหมือนบุคคลที่เป็นหนี้ท่านอยู่ ไม่ลืมบุญคุณของท่าน ตั้งใจขวนขวายใช้หนี้ท่าน บุคคลเช่นนี้ชื่อว่า
                   กตัญญูกตเวทีบุคคล จำแนกเป็นบุคคล 4 ประเภท เพื่อให้ตรงกับบุพการี 4 ประเภท จัดเป็น 4 คู่ คือ
1. บุตรธิดา คู่กับ มารดาบิดา

2. ศิษย์ คู่กับ ครูอาจารย์
3. พสกนิกร คู่กับ พระมหากษัตริย์
4. พุทธบริษัท คู่กับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมีหลักการแสดงความกตัญญูกตเวที ดังนี้ 
                   บุตร-ธิดา พึงแสดงกตัญญูกตเวทีต่อมารดาบิดา โดยสำนึกว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณและยอมรับด้วยว่าอุปการคุณที่ทำแก่ตนนั้นเป็นความดีจริงแล้วสนองตอบพระคุณท่านด้วยการเลี้ยงดูปรนนิบัติ เชื่อฟังตั้งอยู่ในโอวาทของท่าน 
                   ศิษย์ พึงแสดงกตัญญูกตเวทีต่อครูอาจารย์ โดยสำนึกว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณแก่ตนและยอมรับด้วยใจว่าการอบรมของท่านนั้นเป็นความดีจริงแล้วสนองตอบพระคุณท่านด้วยการแสดงความเคารพ ปรนนิบัติรับใช้ ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นท่าน 
                   พสกนิกร พึงแสดงกตัญญูกตเวทีต่อพระมหากษัตริย์ โดยสำนึกว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้มีพระคุณแก่ตนจริง แล้วรับด้วยใจว่าการที่พระองค์ทรงดูแลทุกข์สุขปกป้องผองภัยต่างๆ แก่ตนนั้นเป็นความดีจริงแล้วสนองตอบพระคุณของพระองค์ด้วยการแสดงความจงรักภักดี หรือการประพฤติตนเป็นพลเมืองดี รู้รักสามัคคี เป็นต้น 
                   พุทธบริษัท พึงแสดงกตัญญูกตเวทีต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยสำนึกว่าพระพุทธองค์ทรงมีพระกรุณาคุณต่อมวลมนุษย์และสรรพสัตว์จริง และยอมรับด้วยใจว่าการที่พระองค์ทรงสั่งสอนหลักธรรมที่ตรัสรู้นั้นเป็นความดีอันยิ่งใหญ่ แล้วสนองตอบพระคุณด้วยการน้อมนำหลักพุทธธรรมไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันให้เกิดประโยชน์สูงสุด 
                   ผู้มีปัญญาควรทำอุปการะแก่ผู้อื่น ในขณะเดียวกันก็ระลึกถึงอุปการะของท่าน และทำตอบแทนสนองคุณท่านตามหน้าที่ดังกล่าวมา จัดว่าเป็นคนดีที่หาได้ยากในพระพุทธศาสนา 
                   อานิสงส์ของความกตัญญูกตเวทีมีหลายประการ คือจัดว่าเป็นคนดีเป็นที่ยกย่องสรรเสริญของนักปราชญ์ เป็นเหตุให้ได้มนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติ นิพพานสมบัติ มุ่งไปสู่มหากุศลตามลำดับ เป็นผู้ไม่ประมาท มีแก่นธรรมประจำใจ ได้รับประโยชน์ทั้งรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ ชื่อว่าเจริญรอยตามนักปราชญ์ มีที่พึ่งอันประเสริฐ เลิศด้วยคุณธรรมคือ ศีล สมาธิ ปัญญา
พวกเราทุกหมู่เหล่า ทั้งคณะสงฆ์ จากทุกวัด ประชาชนทุกหมู่บ้าน ที่มาร่วมกันบำเพ็ญกุศล ต่างมาร่วมกัน แสดงน้ำใส ใจจริง ทั้งกาย วาจา ใจ ขออโหสิกรรรม ซึ่งกันและกัน ทั้งเราและท่าน บำเพ็ญบุญ ด้วยการให้ส่วนบุญ  
ร่วมกันให้ทาน ทั้งข้าวปลาอาหาร โรงทาน มาร่วมกันรับศีลบุญ ภาวนาบุญ พวกเราร่วมกัน อุทิศ ส่วนบุญ ที่ได้ร่วมกันทำ ทั้ง ส่วน ให้แด่ ท่านพระครูวิสณฑ์ธรรมาภรณ์ อดีตเจ้าคณะอำเภอคำเขื่อนแก้ว และ อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านบกน้อย พวกเราต่างมาร่วมอนุโมทนาบุญ ด้วยความรัก และความปราถนาดีต่อกัน เมื่อครั้งที่ท่าน ยังอยู่ ท่านให้เรามากมาย ทั้ง วัตถุธรรม และ นามธรรม เมื่อท่านจากไป ก็ขออุทิศบุญให้ท่านไปสู่สุคติ ด้วยกันร่วมกันปฏิบัติในฐานะ ที่เป็นศิษย์ ที่ดี ของท่าน ในฐานะ ที่เป็น พสิกนิกรที่ดี ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะ พุทธบริษัท ที่ดีต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
            เป็นการแสดงพระธรรมเทศนา ที่ ประทับใจจาก ท่านเจ้าคุณ พระราชรัตนกวี เจ้าคณะจังหวัดยโสธร
ในวันนี้
            บันทึกภาพและถ่ายทอดออกอากาศโดย พระอาจารย์ทองใส จันทสิริ เจ้าอาวาสวัดดอนมะฮวน ตำบลแคนน้อย อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร และคณะ

























มีศิษยานุศิษย์ และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมงาน จากหลากหลายหมู่บ้าน ตำบล และศิษย์ต่างจังหวัด มากมาย อาทิเช่น
ส.จ. ชื่น วงษ์เพ็ญ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดยโสธร
นายวิทยา  เพชรรัตน์ สาธารณสุขอำเภอคำเขื่อนแก้ว
นายกนก ประมูลพงศ์  นายกเทศมนตรีตำบลดงแคนใหญ่
นางปุณยวีร์ มาลัย วัฒนธรรมอำเภอคำเขื่อนแก้ว
นายชาติชาย สิงห์พรมสาร ผู้อำนวยการโรงเรียนสมเด็จพระญาณสังวร ในพระสังฆราชูปถัมภ์
พ.ต.ท.ทิพากร สุทธิอาจ รองผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรคำเขื่อนแก้ว
นายประสิทธิ์ รวมธรรม กำนันตำบลดงแคนใหญ่
นายสินอุดม ศิลารักษ์ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนตำบล( อบต . ) ดงแคนใหญ่
นายขจรเกียรติ   อุปยโสธร  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ดงแคนใหญ่  
นายอรุณ  ฉายแสง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล บกน้อย เป็นต้น
ให้คำปรึกษาในการจัดงานด้วยดี โดย ท่านพระครูสิริโชติธรรม (พระมหาอภินันท์ โชติปาโล) เจ้าอาวาสวัดบ้านบกน้อย และเจ้าคณะตำบลดงแคนใหญ่ อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร 

27มิย.2556 ของดีมีให้ดู_เครือข่ายสุขภาพอำเภอหว้านใหญ่_มุกดาหาร


27มิย.2556 ของดีมีให้ดู_เครือข่ายสุขภาพอำเภอหว้านใหญ่_มุกดาหาร
วันที่ 26 มิถุนายน 2556 ผมนายพันธุ์ทอง จันทร์สว่าง ไปพร้อมกับ นายวิทยา  เพชรรัตน์ สาธารณสุขอำเภอคำเขื่อนแก้ว พญ.เพชรวันชัย จางไววิทย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลคำเขื่อนแก้ว  และคณะ กรรมการ จาก เครือข่ายสุขภาพอำเภอคำเขื่อนแก้ว ร่วมกิจกรรม การตรวจเยี่ยม เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ และร่วมชื่นชมยินดี ในสิ่งดีๆ ที่ เครือข่ายสุขภาพอำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร ได้ร่วมกันทำงานมาเป็นเวลายาวนานกว่า 10 ปี จนสามารถเป็นแบบอย่างที่ดี ให้กับ เครือข่ายสุขภาพอำเภออื่นๆได้
ณ ห้องประชุม โรงพยาบาลหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร
            นพ.จิณณพิภัทร ชูปัญญา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดมุกดาหาร  ได้ นำคณะผู้บริหารและ คณะทำงาน จาก เครือข่ายสุขภาพ เขต 10 ร่วมให้กำลังใจด้วยความอบอุ่น
            การออกให้บริการผู้ป่วย ณ สถานีอนามัย หรือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล  นั้น ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลหว้านใหญ่ และคณะ ได้ ทำต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2546  จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา กว่า 10 ปี จนสามารถนำเอนประสบการณ์ ที่ได้ปิบัติงานร่วมกัน นำมาปรับ เปลี่ยน ปรับ ใช้ มาเรื่อยๆ หลายรอบการพัฒนาแล้ว คนที่ออกไปปฏิบัติงานก็เป็นคนของ หว้านใหญ่ ยาก็เป็นยาของ หว้านใหญ่ รถยนต์และทรัพยากร ก็เป็นของ หว้านใหญ่ ปัญหา อุปสรรค ที่เกิดขึ้น ก็ เป็นของ หว้านใหญ่ ผลสำเร็จ หรือ ความภาคภูมิใจ ก็เป็นของ หว้านใหญ่ ไม่มีคำว่า เป็นของ โรงพยาบาล หรือ เป็นของ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ เพราะหว้านใหญ่ เรา ใช้ ทรัพยากรร่วมกัน  หรืออาจจะกล่าวได้ว่า เครือข่ายสุขภาพอำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร สามารถเป็นต้นแบบที่ดี ของ DHS ก็ได้
            นพ.จิณณพิภัทร ชูปัญญา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดมุกดาหาร  กล่าวให้กำลังใจ