5/8/09
ทั่วประเทศ ร่วมรณรงค์ หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ความรุนแรง
วันที่ 4 พฤษภาคม 2552 หลายองค์กร ให้ความสำคัญกับ โครงการนี้ในวันนี้ หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ความรุนแรง การก่อกำเนิดของเครือข่าย "หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ความรุนแรง" เป็นการสะท้อนเป็นอย่างดีว่า คนส่วนใหญ่ของประเทศรังเกียจความรุนแรงที่ผ่านมา
และพร้อมจะออกมาต่อต้าน หากจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต เหตุผลเพราะที่ผ่านมา ประเทศนี้ถูกปล่อยให้ "คนกลุ่มน้อย" ผ่านวาทกรรม "สี" ออกมาย่ำยีประเทศมากเกินควรแล้ว เพราะลงความเห็นร่วมกันแล้วว่า หากยังปล่อยให้ประเทศ ชะตากรรมถูกกำหนดโดยชนกลุ่มน้อยที่นิยมความรุนแรงแล้ว เชื่อได้เลยว่าไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะเพราะความพ่ายแพ้จะตกแก่ประเทศชาติ ซึ่งนั้นเท่ากับว่าเป็นความพ่ายแพ้ของทุกคน อย่างเช่น เครือข่ายหวาดวิตก เพราะจะเกิด "ความเสียหายร้ายแรงแก่ภาพลักษณ์ของชาติในทางระหว่างประเทศ ทั้งยังเป็นเหตุสำคัญที่ซ้ำเติมเศรษฐกิจ ซึ่งมีปัญหาจากเศรษฐกิจโลกอยู่แล้วให้ทรุดหนักลงไปอีก นอกจากนั้น ความขัดแย้งรุนแรงทางการเมืองนี้ ก็ยังสร้างรอยร้าวทางสังคมลึกลงไปยังภูมิภาคต่างๆ จนถึงในครอบครัว...หากปล่อยให้เหตุการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ สังคมไทยก็จะแตกเป็นเสี่ยง ทั้งยังอาจเกิดสงครามกลางเมืองที่คนไทยลงมือเข่นฆ่าคนไทยด้วยกันเอง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของราชอาณาจักรและชาติไทยก็จะสูญสลาย นำความพ่ายแพ้ สูญเสียยับเยินมาสู่คนไทยทุกคนทั้งชาติ"
การรณรงค์ของเครือข่าย "หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ความรุนแรง" ที่เริ่มต้นเมื่อวานนี้และยังมีอีกต่อเนื่องนั้น พยายามกระตุ้นเตือนให้ประชาชนตระหนักถึง "สี" ที่หล่อหลอมความเป็นชาติ โดยมีธงชาติเป็นสัญลักษณ์ เพราะเชื่อมั่นว่า "สีของธงชาติ" นี้แหละจะสลายความเป็นกลุ่มของคนและกระตุ้นจิตสำนึกให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงความเป็นชาติ หากคิดจะใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง เนื่องจากความขัดแย้งทางความคิดนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติและการแก้ด้วยการเจรจา สันติวิธีเท่านั้น จะนำมาซึ่งชัยชนะของทุกฝ่าย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงทั้งวาจาและกาย
"ปฏิญญาประชาชน" ที่ประกาศออกมานั้น เชื่อว่าหากทุกฝ่ายยึดมั่นเชื่อว่าความรุนแรงจะไม่เกิดขึ้นในประเทศนี้อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นแนวปฏิบัติของการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามรัฐธรรมนูญ เพราะการมีสิทธิอันชอบธรรมในการชุมนุมนั้น เราต้องเคารพเสรีภาพของผู้อื่นและกฎหมายควบคู่กันไปด้วย ส่วนแนวทางที่ออกมาเรียกร้องให้ผู้นำทางการเมืองทั้งในอดีตและปัจจุบัน พรรคการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา "หยุดปลุกปั่นประชาชนให้เกิดความเกลียดชังซึ่งกันและกัน เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนและกลุ่ม" นั้นถือว่าเป็นอีกเงื่อนไข ที่ทำให้การเจรจาของภาคประชาชนกันเองเดินหน้าไม่ได้ เพราะวิถีทางทางการเมืองนอกรัฐธรรมนูญดังกล่าว จะนำชาติไทยไปสู่หายนะ
ขณะเดียวกัน ขอเรียกร้อง "ให้ยุติการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ และยุติการใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นข้ออ้างเพื่อประโยชน์ทางการเมืองส่วนตนหรือส่วนกลุ่ม" เพราะทางเครือข่ายและประชาชนทั้งประเทศ ตระหนักร่วมกันแล้ว ว่า พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมืองทั้งปวง ส่วนในประเด็นของเจ้าหน้าที่ของรัฐและรัฐบาลนั้น การยึดกรอบบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมและเสมอภาค ถือเป็นอีกหัวใจสำคัญของการยุติความขัดแย้ง โดยเฉพาะภาครัฐบาลที่ต้องยึดอย่างเหนียวแน่น "ของการทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา โปร่งใสในวิถีทางรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ไม่เลือกปฏิบัติ มีมาตรฐานเดียวในการรักษา ความศักดิ์สิทธิ์ของนิติธรรม และต้องเปิดโอกาสให้สังคมสามารถตรวจสอบการกระทำทุกอย่างที่ถูกกล่าวหา หรือถูกตั้งข้อสงสัยได้อย่างเต็มที่" เพราะการปฏิบัติเหล่านี้ คือ กระบวนการทำงานและตรวจสอบตามวิถีทางประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ในภาคสื่อมวลชน ถือว่ามีส่วนสำคัญอย่างมากในปมความขัดแย้ง เพราะหากสื่อมวลชนทุกแขนงยึดมั่นกับจรรยาบรรณแล้ว ย่อมจะก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ประเทศมากกว่าที่เพิ่มไฟความขัดแย้ง ทั้งนี้ แนวทางการเสนอข้อเท็จจริง ไปยังประชาชน และกระตุ้นให้สังคมตระหนักถึงมหันตภัยความขัดแย้งเชื่อว่าจะส่งผลให้ประเทศชาติได้เป็นอย่างดี สุดท้ายขึ้นอยู่กับประชาชนทุกคนที่ต้องตื่นตัวกับปัญหาของชาติ โดยเริ่มจากเรียกร้องให้คนรอบข้างยุติความรุนแรงในการแก้ปัญหา เพราะ "ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ในสังคมยังเพิกเฉย เมื่อหายนะและความรุนแรงที่นำมา ซึ่งการหลั่งเลือดและน้ำตาเกิดขึ้น ผู้ที่รับผลร้ายก็คือประชาชนทั้งประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ผู้เดียว"
No comments:
Post a Comment