5/16/21

9 พ.ค.64 วัคซีน มีประสิทธิภาพ 98-99 % ทุกชนิด มีโอกาส รีบไปฉีดนะครับ_ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ให้ข้อมูล

 9 พ.ค.64  วัคซีน มีประสิทธิภาพ 98-99 % ทุกชนิด มีโอกาส รีบไปฉีดนะครับ_ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ให้ข้อมูล

วันที่ 9 พฤษภาคม 2564 นายพันธุ์ทอง จันทร์สว่าง สาธารณสุขอำเภอเลิงนกทา 

 

            ขอบคุณ ผู้ทำ กราฟิค ประกอบการอธิบาย ความสำคัญของ วัคซีน ในสถานการณ์นี้

เข้าใจง่าย เปรียบเทียบได้ดี   (รายละเอียดตามภาพ)

 

วัคซีนที่ฉีดในประเทศไทย กระตุ้นให้สร้างภูมิต้านทานได้ดี ทั้งวัคซีนซิโนแวค และ แอสตร้าเซนเนก้า

ข้อมูลประอบทางวิชาการ วันที่ 9 พ.ค. 2564 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผย ผลการศึกษาภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีน ซิโนแวค และ แอสตร้าเซนเนก้า ในประเทศไทย

พบว่า เมื่อฉีดวัคซีน ซิโนแวค ครบ 2 เข็ม แล้วเป็นระยะเวลา 1 เดือน กับการตรวจภูมิต้านทานหลังฉีดวัคซีน แอสตร้าเซนเนก้า 1 เข็ม เป็นเวลา 1 เดือน เปรียบเทียบกับการตรวจภูมิต้านทานในผู้ที่หายจากการติดเชื้อโรคโควิด-19 ในช่วงระยะเวลา 4 ถึง 8 สัปดาห์ หลังจากที่มีการติดเชื้อ

จะเห็นว่า ระดับภูมิต้านทานของวัคซีน ซิโนแวค เมื่อฉีดครบแล้ว 2 ครั้ง มีค่าระดับภูมิต้านทานเฉลี่ย 85.9 unit/ml ส่วนภูมิต้านทานหลังฉีด แอสตร้าเซนเนก้า เข็มเดียว มีค่าเฉลี่ย 47.5 unit/ml เมื่อเทียบกับภูมิต้านทานหลังติดเชื้อ 60.9 unit/ml และยังแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนส่วนใหญ่ จะตรวจพบภูมิต้านทานได้ 98-99 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ผู้ติดเชื้อ ตรวจพบ ภูมิต้านทานได้ร้อยละ 92.4

จากข้อมูลนี้ ไม่ได้บอกประสิทธิภาพในการป้องกันโรค ได้มากน้อยแค่ไหน แต่ที่รู้แน่ว่าถึงแม้ว่าจะเป็นโรคแล้ว ระดับภูมิต้านทานก็ยังแตกต่างกันมาก และบางคนก็ตรวจไม่พบ แสดงให้เห็นว่า โรคนี้มีโอกาสเป็นแล้วเป็นอีกได้ ทำนองเดียวกันการฉีดวัคซีนในปัจจุบัน ยังไม่ทราบว่า จะต้องใช้ระดับภูมิต้านทานเท่าใด จึงจะสามารถป้องกันการติดเชื้อ แต่ที่รู้แน่ ๆ คือถ้าเรามีภูมิต้านทาน ก็จะสามารถลดความรุนแรงของโรคได้

 

การศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีนโดยทั่วไป จะทำการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่ให้วัคซีนกับกลุ่มที่ให้วัคซีนหลอก หรือ ไม่ได้ให้วัคซีน แล้วติดตามไปดูว่า กลุ่มไหนจะมีการเกิดโรคโควิด-19 มากน้อยแค่ไหนแล้ว จึงนำมาเปรียบเทียบเป็นประสิทธิภาพที่ออกมาเป็นรูปเปอร์เซ็นต์

            ระดับภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นนี้ก็แสดงให้เห็นว่า วัคซีนทั้งสองชนิดที่ฉีดในประเทศไทย กระตุ้นให้สร้างภูมิต้านทานได้ดีในประชากรไทย ทั้งวัคซีนซิโนแวค และ แอสตร้าเซนเนก้า

            ส่วนระดับภูมิต้านทานจะอยู่ไปได้นานแค่ไหน ขณะนี้กำลังติดตามระยะยาว โดยเฉพาะถ้าภูมิต้านทานลดลงมาก ก็อาจจะต้องมีการกระตุ้นด้วยวัคซีนให้ภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นได้สูงอยู่ตลอดเวลา เพราะโรคโควิด-19 มีระยะฟักตัวสั้น จึงต้องอาศัยภูมิต้านทานที่สูงอยู่ตลอดรายการป้องกันการติดเชื้อ

 

ที่มา: https://web.facebook.com/yong.poovorawan

No comments:

Post a Comment