8/24/08

ประวัติ สมจิตร จงจอหอ วีระบุรุษ คนดี


วัน ที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๑ สิ่งที่ได้และภูมิใจมากที่สุด จากการดูมวยในวันนี้ ต้องขอชื่นชม ทีมงานผู้บรรยาย ที่ นำเอาประวัติของ สมจิตร จงจอหอ ที่เป็นผู้ที่มีวินัย ต่อตนเองดีมากๆ เป็นแบบอย่างที่ดีของ คนไทย รักสุขภาพ ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ขยันฝึกซ้อม อย่างมุ่งมั่น ไม่ละความพยายาม ใช้เวลาถึง 12 ปี จึงประสบผลสำเร็จในเหรียญทอง โอลิมปิค ขอให้ น้องๆและลูกๆ หลานๆชาวไทยทุกคน ดู และ เอาเยี่ยงอย่าง วีระบุรุษเหรีญยทอง ของไทย คนนี้ "สมจิตร จงจอหอ" ส่วนประวัติโดยย่อนั้น ขอขอบคุณ ข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม รายละเอียดดังนี้ สมจิตร จงจอหอ ปัจจุบันอายุ 33 ปี เกิดเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2518 เป็นบุตรของ นายเช้า และนางฝ้าย จงจอหอ ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่จ.บุรีรัมย์ ภายหลังสมรสกับน้องอุ้ม-ศศิธร เนาว์ประเสริฐ จึงย้ายมาตั้งรกรากที่โคราช จ.นครราชสีมา โดยมีโซ่ทองคล้องใจกับภรรยาสาว 1 คน คือ น้องกำปั้น เด็กชายอภิภู จงจอหอ วัย 7 ขวบ ซึ่งเป็นกำลังใจสำคัญของสมจิตรในการแข่งขันโอลิมปิกครั้งนี้ แม้ว่า นักชกเชิงสูงคนนี้จะอายุย่างเข้า 34 ปีแล้ว แต่เขาก็ยังรักษามาตรฐานของตัวเองเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยความรับผิดชอบต่อหน้าที่ได้อย่างไม่มีที่ติ เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์อันโชกโชนบนสังเวียนมวยเสื้อกล้าม ที่ยืนหยัด ติดทีมชาติมายาวนานกว่า 10 ปี โดยติดทีมชาติครั้งแรกเมื่อปี 2540 จากวันนั้นถึงวันนี้ สมจิตร ยังแสดงผลงานได้อย่างโดดเด่นสม่ำเสมอ สมจิตร ถูกยกให้เป็น "กัปตัน" ของทีมชาติไทยกลายๆ และยังเป็นนักชกระดับความหวังของไทยมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันในรายการใดก็ตาม จะว่าไปแล้ว สมจิตร น่าจะจัดอยู่ในทำเนียบนักชกที่ดีที่สุดในโลกคนหนึ่งของรุ่นฟลายเวต เพราะเขาเคยคว้าเหรียญทองจากรายการระดับโลกมาแล้วเกือบครบถ้วนทั้ง เวิลด์แชมเปี้ยนชิพ, มวยทหารโลก, เอเชียนเกมส์ ยังขาดก็แต่เพียงเหรียญทองโอลิมปิกเท่านั้นที่เขายังไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน และการแข่งขันที่กรุงปักกิ่งครั้งนี้ก็จะเป็นโอลิมปิกครั้งสุดท้ายของเขา ซึ่งเป้าหมายที่ตั้งไว้ก็คือ "เหรียญทอง" เพียงสถานเดียวเท่านั้น "ผมชกมาทุกรายการสำคัญของโลกแล้ว มันยังคาใจผมอยู่เหรียญเดียวคือโอลิมปิก หนนี้ผมตั้งใจเต็มที่เพื่อจะคว้าเหรียญมาครองให้ได้ ครั้งก่อนที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ผมเสียใจสุดๆ เพราะจับสลากมาสเจอตอ ในรอบ 2 พบนักชกคิวบา เต็งเหรียญทองเหมือนผม 3 ยกแรกผมนำ 3 คะแนน ยกที่ 4 หากผมไม่พลาดก็จะชนะทันที แต่เพราะพลาด" ..."ผมคิดว่าพอแล้วสำหรับการชกมวย แต่ถึงจะเลิกชกไปแล้ว ผมก็จะเวียนวนอยู่ในวงการต่อไปเหมือนเดิม ตั้งใจว่าจะก้าวขึ้นเป็นโค้ชสอนนักมวยในระดับเยาวชน ต่อไป ผมจะทุ่มเทความสามารถ และประสบการณ์ทั้งหมดของตัวเอง ในการทำหน้าที่โค้ช เพื่อให้พร้อมสำหรับการแข่งขันยูธโอลิมปิกในปี 2010 ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งทางสมาคมมวยสากลสมัครเล่นฯ ก็พร้อมจะให้โอกาสผมต่อไปครับ”…

No comments:

Post a Comment