6/6/21

3 มิ.ย.64 วัคซีนเข็มแรก ของไทย สมัย รัชกาลที่ 3 ป้องกัน ไข้ทรพิษ พระมหากษัตริย์ ช่วยชาติ พ้นภัย

 3 มิ.ย.64 วัคซีนเข็มแรก ของไทย สมัย รัชกาลที่ 3 ป้องกัน ไข้ทรพิษ พระมหากษัตริย์ ช่วยชาติ พ้นภัย

3 มิถุนายน 2564 นายพันธุ์ทอง จันทร์สว่าง สาธารณสุขอำเภอเลิงนกทา

บันทึกประวัติศาสตร์ วัคซีนเข็มแรกของโลก กับ  วัคซีนเข็มแรกของไทย  ไข้ทรพิษ


  วัคซีนเข็มแรกของโลก

นายแพทย์เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ (Edward Jenner) แพทย์ชนบทชาวอังกฤษจากเมือง Gloucestershire ได้สังเกตเห็นว่า ตามมือและแขนของผู้หญิงรีดนมวัว มักมีแผลที่เกิดจากฝีดาษวัว (cowpox) ที่ไม่รุนแรง และพบว่าผู้หญิงรีดนมวัวในหมู่บ้านทุกคน ไม่มีใครป่วยเป็นโรคไข้ทรพิษเลย

นายแพทย์เจนเนอร์เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็อยากค้นหาความจริง เพราะสถานการณ์การระบาดในเวลานั้นเข้าตาจน” จึงเริ่มทำการทดลองโดยไม่ทำเป็นขั้นเป็นตอนที่ต้องเริ่มจากทดสอบกับสัตว์ก่อน แล้วจึงค่อยสุ่มตัวอย่างทดลองกับมนุษย์  นายแพทย์เจนเนอร์ทำแบบลูกทุ่ง ให้เห็นดำเห็นแดงกันเลย โดยในวันที่ 14 พฤษภาคม 1796 ได้นำหนองจากแขนของ ซาราห์ เนลเมส (Sarah Nelmes) หญิงรีดนมวัว ที่ติดจากฝีดาษวัว ไปป้ายไว้ใต้ผิวหนังแขนของ เจมส์ ฟิปส์ (James Phipps) เด็กชายวัย 8 ขวบ และพบว่าฟิปส์มีไข้เล็กน้อย แต่ก็หายภายในเวลาไม่นาน

หลังจากนั้นประมาณ 6 สัปดาห์ นายแพทย์เจนเนอร์ได้นำเชื้อฝีดาษ ป้ายบนแผลของฟิปส์ ผลปรากฏว่าฟิปส์ไม่แสดงอาการเป็นไข้ทรพิษเลย และเมื่อนำวิธีการนี้ไปทดสอบกับคนในหมู่บ้านก็ได้ผลเช่นเดียวกัน

นายแพทย์เจนเนอร์เรียกวิธีการนำฝีดาษวัวมาใช้ในการรักษานี้ว่า “vaccine”

ซึ่งมาจากภาษาละตินว่า vacca ที่แปลว่า วัว นั่นเอง

เมื่อนายแพทย์เจนเนอร์นำรายงานผลการทดลองเสนอต่อราชสมาคมแห่งลอนดอน (Royal Society of London) กลับไม่ได้รับการรับรอง  แม้จะถูกปฏิเสธจากวงการแพทย์ แต่กลับได้รับความนิยมจากประชาชน มีผู้คนจำนวนมากพากันมารับการปลูกฝีจากนายแพทย์เจนเนอร์ โดยไม่มีใครล้มป่วยเป็นฝีดาษ 

ในที่สุด ผ่านไป 4 ปี รัฐสภาอังกฤษจึงรับรองผลงานนี้ในปี 1800

 

ขอบคุณ แหล่งข้อมูล จาก

https://www.prachachat.net/columns/news-671766

 

 

วัคซีนเข็มแรกของไทย สมัย รัชกาลที่ 3 ไข้ทรพิษ

 

ประเทศไทย มีการฉีดวันซีนเข็มแรก  เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2378 หรือตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 3

ซึ่งวัคซีนชนิดแรกนี้คือวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ โรคที่ระบาดหนักในสมัยนั้น

โดยหมอบลัดเลย์ (Dr. Dan Beach Bradley) เป็นผู้นำเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย

โดยเป็นวัคซีนที่ทำในลักษณะที่เรียกว่า “การปลูกฝี”

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงทราบเรื่องราวในการปลูกฝีของหมอบรัดเลย์

จึงมีรับสั่งให้หมอหลวงไปทำการฝึกปลูกฝีกับหมอบลัดเลย์

 

ในระยะแรก ประเทศไทยต้องนำเข้าพันธุ์หนองฝีจากสหรัฐอเมริกา แต่ภายหลังหมอบลัดเลย์ได้เปลี่ยนมาใช้วิธีการปลูกฝีแบบ variolation คือ นําเอาหนองฝีจากผู้ป่วยไข้ทรพิษมาทําการปลูกฝี ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกันกับที่ชาวจีนค้นพบ

โดยหมอบลัดเลย์ตั้งใจว่า หากวิธีการปลูกฝีแบบชาวจีนนี้ไม่ได้ผลดีตามที่ควร หรือเกิดอันตรายแก่ผู้ป่วย

ก็จะกลับไปใช้วิธีการนำเข้าพันธุ์หนองฝีจากสหรัฐฯ ตามเดิม โดยมีค่าบริการคนละ 1 บาท และมีเงื่อนไขว่าจะได้เงินคืน 50 สตางค์ เมื่อกลับมาติดตามตรวจผลดู และ ฝีดีขึ้น ทั้งนี้ เงินที่ได้จะนำไปซื้อพันธุ์หนองฝีมาใช้ต่อไป

ครั้นในสมัยรัชกาลที่ 5 แม้ปฏิบัติการปลูกฝีแบบเดิมทั้งแบบนำเข้าพันธุ์หนองฝี และแบบชาวจีน จะประสบผลสำเร็จด้วยดี แต่เรื่องการนำพันธุ์หนองฝีเข้ามายังคงเป็นปัญหาเรื่องระยะเวลาการเดินทางที่นานถึง 9 เดือน ทำให้พันธุ์หนองฝีเสื่อมคุณภาพ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชดำริให้คิดทำหนองฝีขึ้นมาใช้เองเสียเลย

โดยเริ่มจากการส่งนายแพทย์ 2 คน ของไทย คือ พระบำบัดสรรพโรค หรือนายแพทย์แฮนซ์ อดัมเซ็น (Hans Adamsen) และหลวงวิฆเนศน์ประสิทธิวิทย์ (อัทย์ หสิตะเวช) ไปศึกษาดูงานเรื่องดังกล่าวที่ประเทศฟิลิปปินส์

เมื่อทั้งสองกลับมาประเทศไทย ก็ได้มีการทำพันธุ์หนองฝีขึ้นเองครั้งแรกในประเทศไทย ที่สำนักงานบริเวณสี่กั๊กพระยาศรี (สี่แยกพระยาศรี) และต่อมาทางกระทรงธรรมการได้เสนอให้รัฐบาลจัดตั้ง “กอเวอนเมนต์ซีร่ำแลโบแร็ตโตรี”

(Government Serum Laboratory)สำหรับผลิต พันธุ์หนองฝีขึ้นใช้ปลูกป้องกันไข้ทรพิษภายในประเทศ และ

ภายหลังได้ย้ายสถานผลิตไปที่ ต.ห้วยจรเข้ จ.นครปฐม

จนกระทั่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6

มีการจัดตั้งสถานที่ดำเนินการวัคซีนป้องกันโรคกลัวน้ำ (โรคพิษสุนัขบ้า) ขึ้นเป็นแห่งแรกในประเทศไทย

ที่ตึกหลวงบนถนนบำรุงเมือง เป็นสถานที่ทำการชั่วคราว เรียกว่า “ปาสตุระสภา”

โดย สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ทรงเป็นผู้อนุเคราะห์ ในการนี้จึงทำการย้ายสถานผลิตพันธุ์หนองฝี รวมถึงการทำวัคซีนอื่น ๆ จากนครปฐม มาดำเนินการอยู่ด้วยกันที่ปาสตุระสภาแห่งนี้

ในปี พ.ศ. 2460 สถานที่รวมกิจการวัคซีน “ปาสตุระสภา” ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “สถานปาสเตอร์”

ตามชื่อหลุยส์ ปาสเตอร์ ผู้คิดค้นวัคซีนคนสำคัญของโลก พร้อมกับโอนกิจการนี้ให้แก่สภากาชาดไทย

แต่ยังคงใช้สถานที่ทำการเดิม

ภายหลังสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถฯ เสด็จสวรรคต

รัชกาลที่ 6 ได้มีพระราชประสงค์ที่จะสร้างสิ่งอันเป็นสาธารณประโยชน์เพื่อเชิดชูพระเกียรติยศพระราชชนนี

จึงทรงอุทิศที่ดิน 46 ไร่  ริมถนนพระราม 4 พร้อมพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ 258,000 บาท

มอบให้สภากาชาดไทย สำหรับสร้างอาคารใหญ่ ที่ชื่อว่า “ตึกสภานายิกา”

เพื่อใช้เป็นสถานที่ทำการแห่งใหม่ของสถานปาสเตอร์ พร้อมพระราชทานนามให้ใหม่ว่า “สถานเสาวภา”

และทั้งหมดนี้ ก็เป็นเรื่องราวของวัคซีนเข็มแรกของประเทศไทย

ที่ .. จะเห็นได้ว่าใน ทุกช่วงเวลาที่เราประสบพบปัญหา จะมีสถาบันองค์พระมหากษัตริย์ ที่คอยอยู่เคียงข้าง ทรงพระเมตตา และ มีพระมหากรุณาธิคุณ ต่ออาณาประชาราษฎร์เสมอมา

#นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

ขอบคุณข้อมูลที่มา: สถานเสาวภา สภากาชาดไทย

No comments:

Post a Comment