10/17/20

1 ต.ค.63 หาเรื่อง_เพิ่มเติมกำลังใจ อะไรซ่อนอยู่ใน ข้าวเปล่า 1 กล่อง จากผู้ปิดทอง หลังพระ รำลึกถึงพ่อหลวง พ่อถวิลพ่อเรา

 1 ต.ค.63 หาเรื่อง_เพิ่มเติมกำลังใจ อะไรซ่อนอยู่ใน ข้าวเปล่า 1 กล่อง จากผู้ปิดทอง หลังพระ

วันที่ 1 ตุลาคม 2563  นายพันธุ์ทอง จันทร์สว่าง สาธารณสุขอำเภอค้อวัง

ข้าวเปล่าถ้วยนึง จาก ผู้ปิดทอง หลังพระ

คนดี มีศักดิ์ มีศรี ในตนเอง   

ร่วมสำนึกถึงพระคุณ พระเจ้าแผ่นดิน พ่อหลวง และ พ่อเรา พ่อถวิล จันทร์สว่าง ครับ

 


ค่ำวันหนึ่งเมื่อมากกว่า 20 ปีที่แล้ว มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งท่าทางเหมือนนักศึกษา กำลัง

ลังเลอยู่หน้าร้านบุฟเฟต์แห่งหนึ่ง เมื่อลูกค้าส่วนมาก

ออกจากร้านแล้ว เขา

จึงเดินเข้าร้านมาด้วยอาการเขินอาย

 

“ขอข้าวเปล่าถ้วยนึง ขอบคุณครับ ”

 

เด็กหนุ่มก้มหน้าพูด

เจ้าของร้านบุฟเฟต์เพิ่งเปิดใหม่

เป็นเถ้าแก่หนุ่มสาวคู่หนึ่ง เห็นเด็กหนุ่มไม่เอากับข้าว ก็รู้สึกสะท้อนใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เขารีบตักข้าวพูนถ้วยส่งให้

กับเด็กหนุ่มคนนั้น เด็กหนุ่มจ่ายเงินพร้อมกับพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า

“ผมขอน้ำแกงราดบนข้าวสักหน่อยได้ไหมครับ?

 

“ตามสบายเลยค่ะ ไม่คิดตังค์”

 

เถ้าแก่เนี้ยพูด

เขากินไปได้ครึ่งถ้วย ก็สั่งอีกถ้วยหนึ่ง

“ไม่อิ่มใช่ไหม?

ถ้วยนี้เดี๋ยวผมตักให้คุณมากหน่อย”

เถ้าแก่พูดด้วยความเอาใจใส่

 

“ไม่ใช่ครับ ผมเอาใส่กล่อง พรุ่งนี้จะเอาไปกินที่มหาลัยนะครับ”

 

เมื่อเถ้าแก่ได้ยิน ก็เดาออกว่า เด็กหนุ่มคนนี้คงมาจากต่างจังหวัดในเขต

ภาคใต้เป็นแน่ ฐานะที่บ้านคงไม่สู้จะดีนัก เขาคงมาเรียนที่ไทเปคนเดียว

และคงจะทำงานและก็เรียนไปด้วย ดูก็รู้ว่าเด็กคนนี้คงจะลำบากอยู่ไม่น้อย

เขาจึงตักโร่วจ้าว (เนื้อเคี่ยวซอสสำหรับราดบนข้าว) ใส่ไว้ที่ใต้กล่องข้าว

จากนั้นก็เอาไข่ตุ๋นชาใส่ไปหนึ่งฟอง

จากนั้นจึงตักข้าวอัดไปเต็มกล่อง มอง

ดูแล้วเหมือนไม่มีอะไรอยู่ในกล่องข้าว นอกเสียจากข้าวเปล่า

 

เมื่อภรรยาของเขาเห็นดังนั้น ก็เข้าใจในสิ่งที่สามีกำลังทำว่า ต้องการช่วย

เหลือเด็กหนุ่มคนนี้ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ราดโร่วจ้าวไว้บนข้าว จะใส่ไว้

ใต้ข้าวทำไม?

 

เถ้าแก่กระซิบบอกภรรยาว่า

“เด็กผู้ชาย  รักศักดิ์ศรี หากเขาเห็นว่าบนข้าวมี

โร่วจ้าว เขาอาจคิดว่าเราทำทานแก่เขา หากเป็นอย่างนี้ คราวหน้า เขาจะไม่กล้ามาอีก ถ้าเขาไปกินร้านอื่นก็ได้กิน

แต่ข้าวเปล่า  แล้วจะเอาแรงที่ไหนไปเรียนหนังสือ !”

“คุณเป็นคนดีจริง ๆ จะช่วยเขายังกลัวเขาอายอีก”

“หากผมไม่ดี คุณจะแต่งงานกับผมเหรอ! ”

เถ้าแก่หนุ่มหยอกเย้าผู้เป็นภรรยา

 

“ขอบคุณครับ ผมอิ่มแล้ว แล้วเจอกันใหม่ครับ”

เด็กหนุ่มพูดจบก็หยิบข้าวกล่อง

แล้วเดินออกจากร้านไป

เมื่อเด็กหนุ่มถือข้าวกล่องที่ดูหนักกว่าข้าวเปล่า ออกจากร้านไป ก็หันมายิ้ม

ให้เจ้าของร้านทั้งสอง

“สู้ๆนะ พรุ่งนี้พบกันใหม่”

 

เถ้าแก่พูดและโบกมือให้กับเด็กหนุ่มคนนั้น ในคำพูดประโยคนั้นของเขา

แฝงด้วยคำเชิญ

ให้เด็กหนุ่มมากินข้าวที่นี่ใหม่ในวันพรุ่งนี้

 

เด็กหนุ่มน้ำตาคลอ ไม่กล้าหันไปมองเจ้าของร้าน

กลัวว่าน้ำตาจะร่วงให้เขาทั้งสองเห็น

 

จากนั้นเป็นต้นมา นอกจากว่าเป็นช่วงปิดเทอม

พลบค่ำของทุกวันเด็กหนุ่ม

ก็จะมากินข้าวที่ร้าน เขาสั่งข้าวเปล่าหนึ่งถ้วยและข้าวเปล่าหนึ่งกล่องเอา

กลับบ้าน

และใต้กล่องข้าว

ก็จะมีอาหารที่แตกต่างกันไปในแต่ละวัน

จนเด็กหนุ่มเรียนจบปริญญาตรี

 

ผ่านมา 20 ปีแล้ว

ที่ร้านบุฟเฟต์แห่งนี้ไม่ได้ต้อนรับลูกค้าคนพิเศษคนนี้อีก

เลย อยู่ๆทางการก็ส่งจดหมายมาบอกว่าจะทำการเวนคืนที่ และร้านของ

เขาก็เป็นหนึ่งในนั้น

สองสามีภรรยาอายุใกล้จะ 50 ปี เมื่อรู้ข่าวนี้ต่างก็กลัด

กลุ้มใจ ชีวิตต่อไปข้างหน้าจะทำอย่างไร เงินทองที่จะได้จากทางการก็ไม่

เพียงพอกับการจัดซื้อบ้านที่มีทำเลดีอย่างนี้ได้อีก แล้วลูกๆที่กำลังเรียนอยู่

จะหาค่าเทอมมาจากไหน? ต่างก็กอดกันร้องไห้ ไม่รู้จะจัดการกับชีวิตอย่างไรดี

 

เช้าวันหนึ่ง ชายคนหนึ่งแต่งกายภูมิฐานเข้ามาหาสองสามีภรรยา

“สวัสดีครับคุณทั้งสอง ผมเป็นรองผู้จัดการบริษัท...

ผู้จัดการใหญ่ของเรา

ต้องการให้คุณเข้าไปทำร้านอาหารบุฟเฟต์ในบริษัทของเรา ที่กำลังจะทำ

การเปิดใหม่ในเร็วๆนี้ เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นการตกแต่ง และอุปกรณ์

ต่าง ๆ ค่าวัสดุในการทำอาหาร ทางเราจะเป็นผู้รับผิดชอบ ขอเพียงคุณ

จัดหากุ๊ก ปรุงอาหารและบริหารงาน ก็พอ ส่วนกำไรแบ่งครึ่งกับบริษัทของเรา”

ผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเป็นใครกัน? ทำไมเขาถึงดีกับเราอย่างนี้? เราไม่

เคยรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมเลยสักคนเดียว? สองสามีภรรยาต่างทำหน้า

งงๆ

“คุณทั้งสองเป็นผู้มีพระคุณของผู้จัดการใหญ่ของเรา ท่านบอกว่าท่านชอบ

กินไข่ตุ๋นชาและโร่วจ้าวของร้านคุณมาก รายละเอียดผมทราบเพียงแค่นี้

นอกเหนือจากนี้คุณคงจะทราบได้เองเมื่อได้เจอกับผู้จัดการใหญ่ของเรา”

 

เมื่อเดินทางไปถึงบริษัท สองสามีภรรยาจึงรู้ว่า

ผู้จัดการใหญ่ของบริษัทนี้ก็

คือเด็กหนุ่มที่มากินข้าวเปล่า ยามพลบค่ำทุกวันนั่นเอง หลังจากจบ

มหาวิทยาลัย เขาก็มุมานะ สร้างเนื้อสร้างตัว จนสามารถเปิดบริษัทแห่งนี้ได้

 

เขาสำนึกบุญคุณ

ข้าวเปล่าที่สองสามีภรรยา ให้เขากิน ตลอดเวลาที่เรียนมหาวิทยาลัย หากไม่มีสองสามีภรรยาช่วยเหลือเขา ในตอนนั้น  เขาคงลำบากและไม่สามารถเรียนจนจบได้

 

เรื่องราวก่อนเก่าแต่หนหลัง ถูกรื้อฟื้นขึ้นในวงสนทนาเคล้าเสียงหัวเราะและ

น้ำตา เมื่อถึงเวลาที่สองสามีภรรยาจะลากลับ ชายหนุ่มยืนขึ้นโค้งคำนับ

พร้อมกับพูดว่า

“สู้ๆนะครับ ต่อไปนี้บริษัทของเราต้องพึ่งพาคุณแล้วนะ พรุ่งนี้พบกันใหม่”

ความรักที่ให้ออกไป ความรักก็จะย้อนกลับคืนมา

ความสุขที่ให้ออกไป ความสุขก็จะย้อนกลับคืนมา

คิดเผื่อคนอื่น ย่อมจะต้องมีคนคิดถึงคุณ

 

นี่คือเหตุและผล

นี่คือกฏเกณฑ์

 

เมื่อท่านอ่านบทความนี้จบ

ท่านมี 2 ทางเลือก

1. ท่านเผยแพร่ออกไปเต็มความสามารถ ทำให้โลกนี้มีความรักเพิ่มขึ้น

2. ท่านสามารถไม่สนใจ เสมือนหนึ่งท่านไม่เคยเห็นมันเลย

 

การแบ่งปันเล็กๆ ของท่าน อาจสามารถส่องสว่างให้แก่ชีวิตคนมากมาย คน

มีความฝันจึงทำให้ยิ่งใหญ่ การกระทำยิ่งทำให้ประสบความสำเร็จ การเรียนรู้

ของท่านทำให้ท่านเปลี่ยนแปลง

ขอให้ท่านกระจายความรักของท่าน จะช่วยให้คนส่วนมากเติบใหญ่ขึ้น

ขอบคุณการสนับสนุนของท่าน

 

ข้าพเจ้าได้เลือกทำข้อที่ 1 แล้ว โดยบันทึกไว้ อย่างถาวร ใน บันทึก Diary ของผม เผยแพร่ ทาง Web Blog ส่วนตัว ที่นี่ไงครับ

ขอบคุณพี่ชาย ที่ส่งเรื่องนี้มาย้ำเตือน





No comments:

Post a Comment