วันที่
14 พฤศจิกายน 2555 คอตีบระบาด_รุนแรงถึงตาย_กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ:ป้องกันดีที่สุด
นพ.ณรงค์ ปลัดสธ.
เน้นการเฝ้าระวัง ดูแลรักษาโรคคอตีบให้แพทย์ทุกจังหวัดทั้งรัฐเอกชน ย้ำ โรคคอตีบนี้
ป้องกันได้
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยการระบาดโรคคอตีบอาจเกิดขึ้นได้อีก เนื่องจากประชาชนโดยเฉพาะผู้ใหญ่มีภูมิคุ้มกันโรคไม่เพียงพอ จัดประชุมแพทย์ทุกจังหวัดทั้งรัฐและเอกชน เรื่องระบบเฝ้าระวัง วินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันโรค เน้นตรวจพบเร็ว วินิจฉัยเร็ว รักษาเร็ว และควบคุมป้องกันโรคได้เร็ว เพื่อป้องกันการเสียชีวิตผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยการระบาดโรคคอตีบอาจเกิดขึ้นได้อีก เนื่องจากประชาชนโดยเฉพาะผู้ใหญ่มีภูมิคุ้มกันโรคไม่เพียงพอ จัดประชุมแพทย์ทุกจังหวัดทั้งรัฐและเอกชน เรื่องระบบเฝ้าระวัง วินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันโรค เน้นตรวจพบเร็ว วินิจฉัยเร็ว รักษาเร็ว และควบคุมป้องกันโรคได้เร็ว เพื่อป้องกันการเสียชีวิตผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด
นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข
เปิดเผยว่า ในวันนี้ (14 พฤศจิกายน 2555)ได้มอบหมายให้กรมการแพทย์และสำนักงานสาธารณสุขฉุกเฉิน
จัดประชุมเชิงปฏิบัติการแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข
จากโรงพยาบาลรัฐและเอกชนทั่วประเทศ ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ กทม.
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการวินิจฉัย การดูแลรักษา การเฝ้าระวัง และควบคุมป้องกันโรคคอตีบ
ลดการเสียชีวิตของผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด
นายแพทย์ณรงค์กล่าวว่า โรคคอตีบ เป็นโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน
ประเทศไทยสามารถควบคุมการระบาดได้ดีในอดีต
อย่างไรก็ตามปัจจุบันพบจำนวนผู้ป่วยโรคคอตีบมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
อาจจัดได้ว่าเป็นโรคที่ถูกลืมในเด็กและเป็นโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ในผู้ใหญ่
สาเหตุที่ทำให้โรคนี้กลับระบาดได้อีก เนื่องจากประชาชน
โดยเฉพาะผู้ใหญ่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคค่อนข้างต่ำ
รวมทั้งผู้ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนคอตีบมาก่อน
หรือเด็กที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบไม่ครบตามเกณฑ์ จึงทำให้ภูมิคุ้มกันต่อโรคต่ำลง
ซึ่งโรคคอตีบเป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบทางเดินหายใจ
ติดต่อกันได้โดยตรงจากการไอ จามรดกัน หรือพูดคุยในระยะใกล้ชิด
บางครั้งอาจติดต่อกันได้โดยการใช้ภาชนะร่วมกัน เช่นดื่มน้ำแก้วเดียวกัน
อย่างไรก็ดี
การพบผู้ป่วยโรคคอตีบในบางพื้นที่ขณะนี้ ต้องมีมาตรการด้านต่างๆ
พร้อมรับมืออย่างทันท่วงที ทั้งด้านการตรวจวินิจฉัย การรักษาพยาบาล
การเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา การควบคุมและป้องกันโรค
เพื่อป้องกันการเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด จึงได้ทบทวนองค์ความรู้
และจัดทำแนวทางการวินิจฉัย การดูแลรักษา และการป้องกันการติดเชื้อจากผู้ป่วยโรคคอตีบถ่ายทอดให้แก่แพทย์ทั้งรัฐและเอกชน
บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ให้มีประสิทธิภาพ เป็นมาตรฐานเดียวกัน
เนื่องจากโรคนี้รักษาให้หายได้ด้วยยาต้านพิษ หรือแอนติท๊อกซิน (antitoxin) และยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อซึ่งยังใช้ได้ผลดี มั่นใจว่าแนวทางที่ดำเนินการขณะนี้
จะสามารถควบคุมโรคได้
ทางด้านแพทย์หญิงวิลาวัณย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมการแพทย์กล่าวว่า โดยทั่วไป
โรคคอตีบมีอัตราป่วยตายประมาณร้อยละ 5-10 อาการแทรกซ้อนที่พบมักเกิดจากสารพิษที่เชื้อคอตีบสร้างขึ้น
เรียกเอ็กโซทอกซิน (exotoxin) จะถูกดูดซึม ผ่านเข้ากระแสเลือดไปทำลายอวัยวะต่างๆเช่น
หัวใจ ไต ตับ
ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เสียชีวิตได้
บางรายพบอาการบวมของใบหน้าและลำคอ ซึมลง มักจะมีอัตราตายสูงมาก
ดังนั้นมาตรการสำคัญจึงเน้นให้ค้นหาผู้ป่วยให้เร็ว วินิจฉัยเร็ว รักษาเร็ว
และควบคุมป้องกันโรคได้เร็ว เพื่อป้องกันการเสียชีวิตผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด
ในการป้องกันการระบาดของโรคคอตีบต้องขอความร่วมมือจากทุกคน
เริ่มจากผู้ปกครองนำเด็กทุกคนมารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบตามเกณฑ์ให้ครบ 100
เปอร์เซ็นต์ ประชาชนทั่วไป ควรป้องกันตนเองโดย กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ
ดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด
หรือสถานที่ที่มีการแพร่ระบาดของโรค ผู้ป่วยเป็นไข้หวัดควรสวมหน้ากากอนามัย
รวมถึงรู้จักสังเกตอาการผิดปกติของตัวเองและคนใกล้ชิด เช่น มีไข้ต่ำๆ
อาการคล้ายหวัดในระยะแรก ไอ เจ็บคอ เบื่ออาหาร บางรายอาจพบต่อมน้ำเหลืองที่คอโต
เมื่ออ้าปากจะพบแผ่นเยื่อสีขาวปนเทาในลำคอที่บริเวณต่อมทอนซิล
ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
เพื่อรับการรักษาโดยเร็วและควรติดตามสถานการณ์โรคในพื้นที่และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
ขอบคุณข้อมูลจากศูนย์ข่าวกระทรวงสาธารณสุข
http://www.moph.go.th/ops/iprg/include/admin_hotnew/show_hotnew.php?idHot_new=51336
No comments:
Post a Comment