23 ม.ค.65 สุดยอด คำพิพากษาที่ดีที่สุด(ในความคิดของผม) : เราทุกคนมีส่วนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ในการกระทำความผิด
วันที่ 23 มกราคม 2565 นายพันธุ์ทอง จันทร์สว่าง บันทึก สุดยอด
คำพิพากษาที่ดีที่สุด(ในความคิดของผม)
ความเดิม เมื่อครั้งฝึกประสบการณ์ ในศาล(จำลอง)
เรียน นิติศาสตร์ ณ มสธ. ปี 2555
มีเรื่องนี้ที่ประทับใจ
แต่ ไม่มีการแปล เป็นภาษาไทย มาบัดนี้ มีผู้นำขึ้นเผยแพร่ ใน internet
จึงขอบันทึกไว้
ประกอบการศึกษาเรียนรู้ ต่อไป
ข้อมูลจาก http://thumboon.blogspot.com/2018/06/1935.html
Wednesday, June 06, 2018 สุดยอดคำพิพากษา เหตุเกิด ในเมืองนิวยอร์ค ปี 1935 หรือ เมื่อปี พ.ศ. 2478
"เมื่อทุกคนเมินเฉยและไร้น้ำใจต่อสังคม หากมีอาชญากรรมเนื่องด้วยเรื่องของปากท้องเช่นนี้เกิดขึ้นในชุมชน นั่นก็หมายถึงเราทุกคนมีส่วนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด"
เราทุกคนต่างเกี่ยวเนื่องกัน
หากคนหนึ่งทุกข์ คนอื่นๆ ก็จะทุกข์ตาม เราจะต้องคอยเป็นหูเป็นตาให้กัน เพื่อมิให้มีใครคนใดคนหนึ่งถูกลืมไปจากสังคม
***สุดยอดคำพิพากษา***
ในเมืองนิวยอร์ค
เมื่อปี ค.ศ. 1935 มีการพิพากษาคดีหนึ่งในยามหัวค่ำอันหนาวเหน็บของเดือนมกราคม
หญิงชราคนหนึ่ง ตกเป็นผู้ต้องหาคดีลักขโมยขนมปังหนึ่งก้อน
หญิงชรามีท่าทีเศร้าหมอง
และภายใต้ความเศร้านั้นก็มีความละอายแก่ใจอยู่ด้วย คืนนั้น "ฟิโอเรลโล
ลากวาเดีย" ซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กในขณะนั้นเป็นผู้พิพากษา
ฟิโอเรลโล
ถามหญิงชราว่า “คุณขโมยขนมปังไปจริงหรือ?”
หญิงชราก้มหัวตอบอย่างหดหู่
“ฉันขโมยขนมปังจริงๆ ค่ะท่าน”
ผู้พิพากษาถามต่อว่า
“เพราะเหตุใดคุณจึงต้องขโมยขนมปัง คุณไม่มีอะไรจะกินหรือ?”
หญิงชราเงยหน้าขึ้นบอกผู้พิพากษา
“ใช่ค่ะ ฉันหิวมาก แต่ฉันไม่ได้ขโมยขนมปังไปเพื่อกินเอง
ลูกเขยของฉันทิ้งครอบครัวไป ลูกสาวของฉันล้มป่วย
หลานสองคนของฉันไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน ฉันไม่อาจทนเห็นหลานตัวเล็กๆ ทนหิวได้”
ห้องพิจารณาคดีเงียบกริบหลังได้ฟังคำอธิบายของหญิงชรา
ผู้พิพากษากล่าวกับหญิงชราว่า
“ทุกคนเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย สำหรับข้อหาขโมยขนมปังคุณเลือกเอาว่าจะจ่ายค่าปรับ
10 เหรียญ หรือติดคุกเป็นเวลา 10 วัน”
หญิงชราตอบ
“ท่านผู้พิพากษา ฉันยอมรับโทษในทุกสิ่งที่ฉันทำ หากฉันมีเงิน 10 เหรียญ ฉันจะไม่ขโมยขนมปังหรอก ดังนั้นโปรดจำคุกฉันเถิด
แต่สิ่งเดียวที่ฉันห่วงคือใครจะดูแลลูกสาวและหลานของฉันในช่วงเวลาที่ฉันติดคุก”
ผู้พิพากษาหยุดคิดพักหนึ่ง แล้วเขาก็ล้วงกระเป๋าหยิบธนบัตรสิบเหรียญขึ้นมาถือในมือ
แล้วกล่าวว่า “ผมจะจ่ายค่าปรับให้คุณสิบเหรียญ คุณกลับบ้านไปได้”
ผู้พิพากษาหันไปพูดกับคนที่มาฟังการพิจารณาคดีในที่นั้นว่า
“นอกจากนั้น ผมขอปรับทุกคนในห้องนี้คนละ 50 เซนต์ โทษฐานที่พวกคุณเมินเฉยและไร้น้ำใจในสังคม หญิงชราคนนี้ไม่ควรจะต้องขโมยขนมปังเพื่อประทังชีวิตหลานและคนในครอบครัวหากพวกคุณให้การช่วยเหลือเธอ
คุณไบลีฟ โปรดเก็บเงินจากทุกคน คนละ 50 เซนต์
แล้วมอบเงินนั้นให้ผู้ต้องหา”
ทุกคนในที่นั้นรวมไปถึงเจ้าของร้านขนมปังที่ฟ้องร้องนำหญิงชรามาขึ้นศาล
ตลอดจนเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้มาฟังการตัดสินรู้สึกภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการจ่ายค่าปรับคนละ
50 เซนต์ พวกเขายอมรับและยืนขึ้นปรบมือชื่นชมผลการตัดสิน
วันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ลงข่าวการมอบเงินค่าปรับจำนวน 47.5 เหรียญ ให้กับหญิงชราผู้น่าสงสารเพื่อนำไปซื้ออาหารให้ครอบครัว(ข่าว)
ผลการตัดสินคดีของผู้พิพากษากระตุ้นให้ผู้คนในสังคมได้เห็นว่า
"ทุกคนมีส่วนร่วมในทุกข์สุขของกันและกัน
และหากมีอาชญากรรมเนื่องด้วยเรื่องของปากท้องเช่นนี้เกิดขึ้นในชุมชน
นั่นก็หมายถึงเราทุกคนมีส่วนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด"
เราทุกคนต่างเกี่ยวเนื่องกัน
หากคนหนึ่งทุกข์ คนอื่นๆ ก็จะทุกข์ตาม เราจะต้องคอยเป็นหูเป็นตาให้กัน
เพื่อมิให้มีใครคนใดคนหนึ่งถูกลืมไปจากสังคม
คำพิพากษา
เรียบเรียงมาจากเรื่องเล่าส่วนหนึ่งในชีวิตจริงของ "ฟิโอเรลโล ลากวาเดีย" อดีตนายกเทศมนตรีผู้มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับแห่งมหานครนิวยอร์ก
ทำบุญก็เหมือนการฝากเงินในธนาคาร พอถึงคราวเดือดร้อนก็ถอนมาใช้
โดยเฉพาะเมื่อเจ้ากรรมนายเวรมาทวง ถ้าต่อรองเจรจาคืนบุญเยอะๆ
เจ้ากรรมนายเวรอาจจะอโหสิกรรมได้...Insight Meditation, Mindfulness, cultivation of lovingkindness and
compassion
No comments:
Post a Comment