1/30/22

23 ม.ค.65 สุดยอด คำพิพากษาที่ดีที่สุด(ในความคิดของผม) : เราทุกคนมีส่วนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ในการกระทำความผิด

23 ม.ค.65 สุดยอด คำพิพากษาที่ดีที่สุด(ในความคิดของผม) : เราทุกคนมีส่วนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ในการกระทำความผิด

วันที่ 23 มกราคม 2565 นายพันธุ์ทอง จันทร์สว่าง    บันทึก สุดยอด คำพิพากษาที่ดีที่สุด(ในความคิดของผม)

            ความเดิม เมื่อครั้งฝึกประสบการณ์ ในศาล(จำลอง) เรียน นิติศาสตร์ ณ มสธ. ปี 2555

มีเรื่องนี้ที่ประทับใจ แต่ ไม่มีการแปล เป็นภาษาไทย มาบัดนี้ มีผู้นำขึ้นเผยแพร่ ใน internet

จึงขอบันทึกไว้ ประกอบการศึกษาเรียนรู้ ต่อไป

ข้อมูลจาก  http://thumboon.blogspot.com/2018/06/1935.html

Wednesday, June 06, 2018   สุดยอดคำพิพากษา เหตุเกิด ในเมืองนิวยอร์ค ปี 1935   หรือ เมื่อปี พ.ศ. 2478

 "เมื่อทุกคนเมินเฉยและไร้น้ำใจต่อสังคม หากมีอาชญากรรมเนื่องด้วยเรื่องของปากท้องเช่นนี้เกิดขึ้นในชุมชน นั่นก็หมายถึงเราทุกคนมีส่วนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด"


เราทุกคนต่างเกี่ยวเนื่องกัน หากคนหนึ่งทุกข์ คนอื่นๆ ก็จะทุกข์ตาม เราจะต้องคอยเป็นหูเป็นตาให้กัน เพื่อมิให้มีใครคนใดคนหนึ่งถูกลืมไปจากสังคม

***
สุดยอดคำพิพากษา***

ในเมืองนิวยอร์ค เมื่อปี ค.ศ. 1935 มีการพิพากษาคดีหนึ่งในยามหัวค่ำอันหนาวเหน็บของเดือนมกราคม หญิงชราคนหนึ่ง ตกเป็นผู้ต้องหาคดีลักขโมยขนมปังหนึ่งก้อน

หญิงชรามีท่าทีเศร้าหมอง และภายใต้ความเศร้านั้นก็มีความละอายแก่ใจอยู่ด้วย คืนนั้น "ฟิโอเรลโล ลากวาเดีย" ซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กในขณะนั้นเป็นผู้พิพากษา

ฟิโอเรลโล ถามหญิงชราว่า “คุณขโมยขนมปังไปจริงหรือ?”

หญิงชราก้มหัวตอบอย่างหดหู่ “ฉันขโมยขนมปังจริงๆ ค่ะท่าน”
ผู้พิพากษาถามต่อว่า “เพราะเหตุใดคุณจึงต้องขโมยขนมปัง คุณไม่มีอะไรจะกินหรือ?”
หญิงชราเงยหน้าขึ้นบอกผู้พิพากษา “ใช่ค่ะ ฉันหิวมาก แต่ฉันไม่ได้ขโมยขนมปังไปเพื่อกินเอง ลูกเขยของฉันทิ้งครอบครัวไป ลูกสาวของฉันล้มป่วย หลานสองคนของฉันไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน ฉันไม่อาจทนเห็นหลานตัวเล็กๆ ทนหิวได้”

ห้องพิจารณาคดีเงียบกริบหลังได้ฟังคำอธิบายของหญิงชรา

ผู้พิพากษากล่าวกับหญิงชราว่า “ทุกคนเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย สำหรับข้อหาขโมยขนมปังคุณเลือกเอาว่าจะจ่ายค่าปรับ 10 เหรียญ หรือติดคุกเป็นเวลา 10 วัน”

หญิงชราตอบ “ท่านผู้พิพากษา ฉันยอมรับโทษในทุกสิ่งที่ฉันทำ หากฉันมีเงิน 10 เหรียญ ฉันจะไม่ขโมยขนมปังหรอก ดังนั้นโปรดจำคุกฉันเถิด แต่สิ่งเดียวที่ฉันห่วงคือใครจะดูแลลูกสาวและหลานของฉันในช่วงเวลาที่ฉันติดคุก”

ผู้พิพากษาหยุดคิดพักหนึ่ง แล้วเขาก็ล้วงกระเป๋าหยิบธนบัตรสิบเหรียญขึ้นมาถือในมือ แล้วกล่าวว่า “ผมจะจ่ายค่าปรับให้คุณสิบเหรียญ คุณกลับบ้านไปได้”

ผู้พิพากษาหันไปพูดกับคนที่มาฟังการพิจารณาคดีในที่นั้นว่า “นอกจากนั้น ผมขอปรับทุกคนในห้องนี้คนละ 50 เซนต์ โทษฐานที่พวกคุณเมินเฉยและไร้น้ำใจในสังคม หญิงชราคนนี้ไม่ควรจะต้องขโมยขนมปังเพื่อประทังชีวิตหลานและคนในครอบครัวหากพวกคุณให้การช่วยเหลือเธอ คุณไบลีฟ โปรดเก็บเงินจากทุกคน คนละ 50 เซนต์ แล้วมอบเงินนั้นให้ผู้ต้องหา”

ทุกคนในที่นั้นรวมไปถึงเจ้าของร้านขนมปังที่ฟ้องร้องนำหญิงชรามาขึ้นศาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้มาฟังการตัดสินรู้สึกภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการจ่ายค่าปรับคนละ 50 เซนต์ พวกเขายอมรับและยืนขึ้นปรบมือชื่นชมผลการตัดสิน

วันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ลงข่าวการมอบเงินค่าปรับจำนวน 47.5 เหรียญ ให้กับหญิงชราผู้น่าสงสารเพื่อนำไปซื้ออาหารให้ครอบครัว(ข่าว)

ผลการตัดสินคดีของผู้พิพากษากระตุ้นให้ผู้คนในสังคมได้เห็นว่า "ทุกคนมีส่วนร่วมในทุกข์สุขของกันและกัน และหากมีอาชญากรรมเนื่องด้วยเรื่องของปากท้องเช่นนี้เกิดขึ้นในชุมชน นั่นก็หมายถึงเราทุกคนมีส่วนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด" 

เราทุกคนต่างเกี่ยวเนื่องกัน หากคนหนึ่งทุกข์ คนอื่นๆ ก็จะทุกข์ตาม เราจะต้องคอยเป็นหูเป็นตาให้กัน เพื่อมิให้มีใครคนใดคนหนึ่งถูกลืมไปจากสังคม  

คำพิพากษา เรียบเรียงมาจากเรื่องเล่าส่วนหนึ่งในชีวิตจริงของ  "ฟิโอเรลโล ลากวาเดีย"  อดีตนายกเทศมนตรีผู้มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับแห่งมหานครนิวยอร์ก

 ขอบคุณ ข้อมูลจาก  http://thumboon.blogspot.com/2018/06/1935.html

 



ทำบุญก็เหมือนการฝากเงินในธนาคาร พอถึงคราวเดือดร้อนก็ถอนมาใช้ โดยเฉพาะเมื่อเจ้ากรรมนายเวรมาทวง ถ้าต่อรองเจรจาคืนบุญเยอะๆ เจ้ากรรมนายเวรอาจจะอโหสิกรรมได้...Insight Meditation, Mindfulness, cultivation of lovingkindness and compassion

 

No comments:

Post a Comment