6/6/15

5 มิย.2558 บุคลิกภาพ_ศิลปะการพูดและการสื่อสารของผู้บริหารที่ดี

5 มิย.2558 บุคลิกภาพ_ศิลปะการพูดและการสื่อสารของผู้บริหารที่ดี
วันที่ 5 มิถุนายน  2558 วันนี้ผมนายพันธุ์ทอง จันทร์สว่าง  และคณะ ผู้เข้ารับการอบรม หลักสูตรผู้บริหารการสาธารณสุขระดับกลาง(ผ.บ.ก.) (Middle Level Public Health Administrators) รุ่นที่ ๒๙ ณ วิทยาลัยบรมราชชนนี ขอนแก่น  ร่วมกิจกรรม ฝึกประสบการณ์ เนื้อหาวิชา ศิลปะการพูดและการนำเสนอ
วิทยากร โดย ดร.วัลลภา วิศวสุขมงคล อดีตประธานสภาผู้ว่าการไลออนส์สากลภาครวม
            บทบาทหลักของ ผู้บริหารคือ การใช้ภาวะผู้นำ ที่มีประสิทธิภาพ
สิ่งสำคัญ 2 ประการ ที่ผู้บริหารใช้ในการนำองค์กร คือ ใช้ ศาสตร์ และ ศิลป์ ในการบริหารงาน

How to Communicate Effectively and Handle Difficult People
รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
ผู้นำที่ดีคือผู้นำที่สามารถสร้างทีมงานได้ดี ทีมงานที่ดีคือทีมงานทีมีคนทีมีดีในทีมงาน คนที่มีดีในทีมล้วนมีดีในแต่ละเรื่องที่แตกต่างกัน ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในการสร้างทีมงานคือการเข้าใจซึ่งกันแลกัน การเข้าใจที่สำคัญคือการเข้าใจตน แล้วจึงไปเข้าใจคน การที่จะเข้าใจตนหรือเข้าใจคนได้ ต้องรู้ก่อนว่า ตน หรือ คน นั้นๆ เขามีบุคลิก ที่โดดเด่นในความเป็นตัวตนของเขาประเภทใดบ้าง แล้วจึงทำความเข้าใจเขาเหล่านั้นได้จากการสื่อสารที่ดี

รู้เขารู้เรา รู้ว่าเขาและเราเป็นแบบไหน ใน 4 แบบบุคลิกภาพของ
4 Communication Styles
Style 1.  Driver Style นักขับเคลื่อน ผู้นำ นักสั่งการ
ชอบการแข่งขัน ความเสี่ยง ไม่อดทน สร้างงานโดย ทำตามแนวทางของเขา
ปรับตัวเข้าคนกลุ่มนี้ โดย มีความมั่นใจ ทำงานเร็ว พูดถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น (เอาเป้าเข้าล่อ)
บางสำนัก เรียกว่า ประเภท Powerful Choleric (คนไม่ยอมแพ้ใคร)
Style 2.  Socializer Style นักสังคม มองโลกแง่ดี สุภาพ มีเสน่ห์ เร็วต่อความรู้สึกของคนอื่น
สร้างงานโดย สร้างแรงจูงใจ ชักชวนให้คนทำงาน
ปรับตัวเข้าคนกลุ่มนี้ โดย ใช้ไหวพริบ พูดเกี่ยวกับเขา และความคิดของเขา (ยกย่อง ชื่นชม)
บางสำนัก เรียกว่า ประเภท  Popular Sanguine (คนร่าเริง)
Style 3. Relater Style นักสัมพันธ์: มดงาน   สร้างงานโดย ดำเนินงานตามขั้นตอนทุกระยะ
ปรับตัวเข้าคนกลุ่มนี้ โดย มิตรภาพที่ดี เสนอการสนับสนุนให้เกิดความมั่นใจ
บางสำนัก เรียกว่า ประเภท Peaceful Phlegmatic (คนอะไรก็ได้) อารมณ์ ศิลปิน
Style 4. Thinker Style นักคิด นักวางแผน สร้างงานโดย สร้างงานอย่างช้าๆ และตามหลักวิธีการ ปราศจากการผิดพลาด
ทำงานเป็นระบบ ระเบียบ มี Step ตามแบบแผนความคิด บางสำนัก เรียกว่า ประเภท Perfect Melancholy (คนเจ้าระเบียบ)

แต่ในฐานะผู้บริหารนั้นต้อง คือคนที่สามารถสร้างทีมงานให้ได้ จากคน 4 ประเภทนี้ ซึ่ง แต่ละประเภทก็มีดีในตัวเองที่ผู้นำจะสามารถดึงออกมาใช้ในการบริหารงานได้ให้มากที่สุด
Team Building for Your Effectiveness Team
องค์กรของเรา จำเป็นต้องมี ขาด Driver ไม่ได้ เพราะ...
ต้องมีคนที่ควบคุมสถานการณ์ในขณะที่คนประเภทอื่นอาจทำไม่ได้
ต้องมีการตัดสินใจในสถานการณ์ที่อาจคลุมเครือ  ต้องมีผู้นำนำไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น
ต้องมีความพร้อมที่จะเสี่ยงในสถานการณ์ที่น่าเคลือบแคลง ต้องมีความมั่นใจตอกย้ำในเรื่องที่อาจจะไม่มีเหตุผล
ต้องมีอิสระในการตัดสินใจโดยไมข่ขึ้นกับใครและเปน็นที่พึ่งพาของคนอื่นได้
ต้องมีแผนชีวิตที่ชัดเจนและมุ่งมั่นหากเราถูกสภาพแวดล้อมนำพาไปในทางเสียหาย
เพื่อกระตุ้นให้สู้ต่อในสภาพแวดล้อมแห่งปัญหา สู้ต่อจนถึงจุดหมายปลายทางให้ได้

องค์กรของเรา จำเป็นต้องมี  Relater  มดงาน คนอะไรก็ได้ เพราะ.......
เราต้้องมีความสม่ำเสมอเพื่ออยู่ในเส้้นทางที่ถูกต้้อง  ความอดทนเพื่อสู้กับคนก่อปัญหา  
ความสามารถที่จะเป็นผู้ฟังในขณะที่คนอื่นพูด  การสมานพลังที่ขัดแย้ง
บรรลุเป้าหมายของความสงบ   ความสงสารเพื่อปลอบประโลมคนที่เจ็บปวด 
ความมุ่งมั่นที่ช่วยประคองคนอื่นอาจหมดแรงไปเสียก่อน  
พลังที่จะคงอยู่ได้ต่อไปโดยที่ศัตรูไม่สามารถหาข้อบกพร่องมาโจมตีได้

องค์กรของเรา จำเป็นต้องมี Thinker   คนเจ้าระเบียบ อยู่เพื่อ............
มองโลกให้ลึกซึ้ง ให้เข้าใจว่าแก่นแท้ ของชีวิตคืออะไร
ชื่นชมความงามของศิลปะและธรรมชาติ   สร้างงานชิ้นเอกที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
วิเคราะห์และหาทางออกที่เหมาะสม   ตรวจสอบรายละเอียดเมื่อคนอื่นทำงานไม่รอบคอบ
มุ่งมั่นทำงานที่เริ่มไว้ให้สำเร็จ   ตัดสินใจว่าทำอะไรแลว้ จะคุ้มค่าหรือไม่
ทำทุกอย่างอย่างถี่ถ้วนและเป็นขั้นเป็นตอน

องค์กรของเรา จำเป็นต้องมี Socializer   คนร่าเริง อยู่เพื่อ...
ความสุขในเวลาที่มีปัญหา  ความไร้เดียงสาในยุคที่ผู้คนตรากตรำ
ความฉลาดในเวลาที่อ่อนแรง  อารมณ์ขันพลันที่ใจเหนื่อยล้า
ความหวังหลังเมฆดำครอบงำ  รงกายและแรงใจให้มีกำลังเริ่มต้นใหม่
เสน่่ห์์และความคิดสร้้างสรรค์์เพื่อจรรโลงวันที่โรยแรง  ความเรียบง่ายของวัยเด็กจะได้ช่วยผ่อนคลายความซับซ้อนของชีวิต
Team Building for Your Effectiveness Team คือหน้าที่ ของผู้บริหารอย่างเราละครับ

ภารกิจผู้นำ หรือ ผู้บริหาร  แล้วผู้บริหารเราจะต้องทำอะไรก่อนละครับ...
จาก ภาษิต จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
Step ที่ 1 เราต้อง เปลี่ยนตนเองก่อน โดยเปลี่ยนแปลงแนวคิด
(ถ้าไม่เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็ไม่เปลี่ยนแปลง )
            เปลี่ยนโดยการพัฒนาตนเอง มวงจร หนอน สู่ ผีเสื้อ
            ทุกสิ่ง อย่างที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดมาโดยบังเอิญ กว่าที่ หนอนจะกลายเป็นผีเสื้อได้ นั้น
มันมีขั้นตอน กระบวนการ และ ระยะเวลาที่เหมาะสม
Step ที่ 2 เราต้อง เปลี่ยนคนอื่น หมายถึงคนในทีมงาน เพื่อให้ทีมงานเราร่วมกันเปลี่ยนองค์กร
เมื่อทุกองค์กรเปลี่ยน ก็จะเช้าสู่
Step ที่ 2 เพื่อเปลี่ยน อนาคต




























คิดจะเปลี่ยนตนเอง เปลี่ยนอะไรก่อน
            การจะบริหารงานได้ดี ต้องบริหารคนได้ดี การจะบริหารคนได้ดี ต้องบริหารตนได้ดี (จึงจะมีความน่าเชื่อถือ)
การบริหารตนได้ดี มาจากอะไร มาจากการเปลี่ยนความคิด ซึ่งเป็นนามธรรม สู่นามธรรม ที่สำคัญ ที่ทุกคนมองเห็นได้ง่ายมากที่สุดคือ การเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพ
            บุคลิกภาพผู้บริหารหรือบุคลิกภาพนำที่ดี
ความสำคัญทางบุคลิกภาพของผู้นำ
บุคลิกภาพของผู้นำ หรือผู้บริหารมีความสำคัญต่อความสำเร็จ หรือความล้มเหลวในการบริหารงานเป็นอย่างยิ่ง ผู้บริหารที่มีบุคลิกภาพดีย่อมได้รับการยอมรับนับถือจากผู้ใต้บังคับบัญชา เมื่อการยอมรับเกิดขึ้นการบริหารงานย่อมดำเนินไปได้อย่างราบรื่น เพราะจะได้รับความร่วมมือในทุกๆ ด้าน พูดก็มีคนฟัง ฟังแล้วก็เชื่อ คล้อยตาม เมื่อมีคำสั่งหรือดำเนินการ ก็ได้รับความร่วมแรงร่วมใจ เจอปัญหาก็พร้อมที่จะช่วยกันแก้ไข แล้วหัวเราะกับความสำเร็จด้วยกันที่เส้นชัย
แต่หากผู้นำมีบุคลิกภาพที่ไม่ได้การยอมรับ เช่น โผงผาง ช่างเถียง หยาบคาย ฟังใครไม่เป็น เวลานั่งประชุม ซึ่งควรจะเป็นผู้ใหญ่ซึ่งจดจ่อใส่ใจต่อการมีส่วนร่วมในที่ประชุม ก็กลับนั่งพับนก พับเรือ เล่นLine up Face อย่างนี้ก็เป็นตัวอย่างที่หาคนมีจิตศรัทธาด้วยยาก เพราะตัวท่านเองก็ดูเหมือนไม่ได้อยากจะมีส่วนร่วมอันใดกับใคร เพียงแต่ทำทุกอย่างตามใจ ตามเหตุผล ตามความคิดหรือความต้องการที่ตนเองเห็นว่าดีแล้วก็เท่านั้น       
องค์ประกอบของบุคลิกภาพ 4 ประการดังนี้
1บุคลิกภาพทางกาย  2บุคลิกภาพทางอารมณ์ 3บุคลิกภาพทางสังคม 4บุคลิกภาพทางสติปัญญา
หากท่านเป็นบุคคลธรรมดาๆ จะได้รับความคาดหวังเพียงระดับหนึ่ง แต่บุคคลระดับนำ ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้า ผู้จัดการ ผู้บริหาร หรือผู้นำจริงๆ นั้น จะถูกคาดหวังในเรื่องบุคลิกภาพที่ดีเป็นอย่างมาก และมักจะถูกตำหนิได้ง่ายๆ
จึงต้องระมัดระวัง ใส่ใจ ต่อทุกๆ การพูด คิด ทำ สั่ง แสดงออก เพราะเป็นที่อยู่ในความสนใจ ของคนอื่นทั้งสิ้น
บุคลิกภาพทางกาย  แบ่งเป็นองค์ประกอบย่อย 2 องค์ประกอบ
ประการแรก คือ รูปลักษณ์ภายนอกของผู้บริหารเป็นประการแรกที่ปรากฏแก่สายตาผู้คน ความสะอาดของร่างกายเป็นความสำคัญอันดับแรก การแต่งกายเรียบร้อยเหมาะสมกับตำแหน่ง วัย และสถานการณ์ มีความสำคัญอันดับต่อมา สองสิ่งนี้ประกอบกันเข้าเป็นบุคลิกภาพภายนอกของบุคคลนั้นๆ บุคลิกภาพส่วนนี้ จะเป็นตัวสื่อสารให้บุคคลที่พบเห็นรู้จักท่านในเรื่องต่างๆ คือ ระดับการศึกษา ตำแหน่ง ฐานะทางเศรษฐกิจ ชนชั้นในสังคม จากสายตาของเขาเอง โดยไม่ต้องใช้ภาษาพูดด้านวิชาการบางท่านเรียกสิ่งนี้ว่า การสื่อสารที่ไร้ศัพท์ ผู้บริหารที่ขาดการใส่การสื่อสารที่ไร้ศัพท์นี้ อาจจะสื่อสารให้ผู้พบเห็นเข้าใจในเรื่องต่างๆ ของท่านผิดไปจากความจริงได้
ประการที่สองคือ บุคลิกภาพภายใน ผู้บริหารต้องมีความสามารถในการพูดการโต้ตอบที่ดี มีความฉลาดแหลมคมในการสนทนา เป็นผู้นำกลุ่มได้ และต้องมีข้อมูลอย่างเพียงพอ เพื่อประกอบการตอบโต้อย่างแหลมคมได้ ดังนั้นผู้บริหารจำเป็นต้องอ่านหนังสืออยู่เสมอจะได้ทันสมัย และไวต่อการสื่อสารทางภาษาพูดอย่างมีประสิทธิภาพ องค์ประกอบย่อยสองประการนี้รวมกันเป็นองค์ประกอบของบุคลิกภาพทางกายของผู้บริหาร ที่จะก่อให้เกิดการยอมรับจากใต้บังคับบัญชา
บุคลิกภาพทางอารมณ์และจิตวิทยา
ผู้บริหารที่มีบุคลิกภาพดีต้องเป็นผู้มีความมั่นคงทางอารมณ์ ไม่หงุดหงิด ฉุนเฉียว บ่นว่าตลอดเวลา มีความกล้าหาญในการเผชิญกับอุปสรรคต่างๆ อย่างไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก มีจิตใจเป็นประชาธิปไตย เคารพสิทธิ รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รู้จักชมเชย พูดจาโน้มน้าวจูงใจคนให้ทำงานเพื่อความเจริญก้าวหน้าของหน่วยงาน สังคม หรือประเทศชาติได้ และมีจิตใจที่จะส่งเสริมความก้าวหน้าของผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้บริหารที่มีบุคลิกภาพดี ต้องรักษาอารมณ์ได้ ทนต่อความกดดัน เหนื่อยล้า ทนเสียงต่อว่าและความว้าเหว่ได้มากกว่าผู้อื่น ทั้งต้องระงับความโกรธได้อย่างรวดเร็ว มีเมตตาธรรมและความสงบสันติอยู่ในใจอย่างเปี่ยมล้น เห็นคนทุกคนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ไม่ใช่เห็นใครก็มองเป็นศัตรูผู้รุกรานไปเสียทั้งหมด
บุคลิกภาพทางสังคม
ผู้บริหารควรเป็นผู้นำในการศึกษาหาความรู้ในพิธีการต่างๆ ตามบรรทัดฐาน (Norms) ของสังคม เพื่อจะได้ปฏิบัติตามมารยาทสากลได้อย่างถูกต้อง สามารถเป็นตัวอย่างให้คำแนะนำแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ตลอดทั้งคนรอบข้างได้
บุคลิกภาพทางสติปัญญา เช่น ผู้บริหารที่มีบุคลิกภาพดี ต้องมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์พอที่จะเป็นผู้นำกลุ่ม สามารถคิดสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่สถานศึกษาได้ ซึ่งอาจสรุปได้ว่าสติปัญญาและความรอบรู้ในวิชาชีพของผู้บริหาร เป็นสิ่งสำคัญมากในการบริหาร
องค์ประกอบทั้ง 4 ด้านของบุคลิกภาพที่ดีของผู้บริหารนั้น นับได้ว่าทุกด้านมีความสำคัญเท่าเทียมกันสมควรที่ผู้บริหารควรตระหนัก หมั่นฝึกฝนจนเป็นภาพลักษณ์ที่ปรากฏแก่สายตาของคนทั่วไป เพราะนั่นคือสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการจูงใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชายอมรับนับถือ อันจะส่งผลถึงการร่วมมือร่วมใจในการปฏิบัติงานอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม บุคลิกภาพที่ดีของผู้นำหรือบริหาร แม้จะไม่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติตั้งแต่ดั้งแต่เดิม แต่สามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ ทำนองเดียวกันไม่มีใครสามารถสร้างบุคลิกภาพที่แย่ให้แก่ผู้นำ หรือบริหารได้ นอกจากตัวผู้นำหรือผู้บริหารเอง

รวมความแล้ว บุคลิกภาพที่ดี หรือ เสน่ห์ แห่งบุคลิกภาพ 3 ประการ ( ตามหลักพระพุทธศาสนา)
มาดต้องตา วาจาต้องใจ ภายในยอดเยี่ยม
เสน่ห์ที่ กาย   มาดต้องตา   ตามบุญที่มี ความสง่างาม บุคลิกภาพ การแต่งกาย
เสน่ห์ที่ วาจา วาจาต้องใจ  ปิยะวาจา
เสน่ห์ที่ ใจ     ภายใน ยอดเยี่ยม จิตใจงาม มีน้ำใจ มีคุณธรรม
บุคลิกภาพที่สำคัญแสดงออกทาง 3 V โดยมีศิลปะในการแสดงออก
V : VISAUL        เนื้อหาที่ต้องการสื่อ 
V : VOBAL         จังหวะ และ สีลา การนำเสนอที่ดี
V : VOCAL         ทั้ง วัจน และ อวจน ภาษา ให้เหมาะสม
สื่อด้วย 3 V ที่แสดงออกไป คนอื่นเท่านั้น ที่จะสรุปว่า เรือ พระเอก นางเอก หรือ ผู้ร้าย หรือเป็นนางร้าย
สื่อสาร 3 V มีจุดประสงค์ 3 ประการ คือ
จุดประสงค์ของการสื่อสาร
การสื่อสารมีจุดประสงค์ 3 ประการ
ประการที่ 1.บอกเล่า บรรยาย เพื่อให้ทราบ เป็นการพูดแบบเสนอข้อเท็จจริง  โดยไม่มุ่งหมายที่จะเปลี่ยนทัศนคติของผู้ฟัง  แต่เพื่อเพิ่มพูนความรู้  ความเข้าใจแก่ผู้ฟัง
ประการที่ 2. เพื่อ เพื่อความบันเทิง  เป็นการพูดเพื่อให้ผู้ฟังสนุกสนานครึกครื้น Entertainment
ประการที่ 3. เพื่อชักจูงใจ   โน้มน้าว จูงใจ  คือ  การพูดที่มุ่งหวังให้ผู้ฟังเปลี่ยนใจ        เห็นคล้อยตามผู้พูด  โดยใช้ การเร้าอารมณ์เป็นที่ตั้ง
                   ผู้บริหารที่ดีต้อเป็นผู้ที่มีความสามารถในการสื่อสารที่ดี ผู้ที่สื่อสารที่ดีคือ ผู้ที่สามารถสื่อสารแล้ว ให้ผู้ฟังเกิด Change จากการพูดของเราได้ ดูว่า Change อะไรบ้าง
                   ก็ Change ตามจุดประสงค์ ทั้ง 3 ประการนั่นแหละ ดีที่สุดคือผู้ฟังต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำตามวัตถุประสงค์ของเรา โดยมีความสุขในการรับฟัง และเข้าใจเนื้อหาสาระที่เราสื่อสารได้

การพูดต่อที่ชุมชนที่ดี ทำอย่างไร
                   นักพูดที่ดีจะต้องพยายามเป็นตัวของตัวเอง  อย่าเลียนเสียง  และลีลาของใคร  พยายามพูดให้เป็นแบบธรรมชาติ 
การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ในขณะพูด
*       ผู้ฟังแสดงความไม่พอใจหรือไม่เป็นมิตรกับผู้พูด  
                        จงยิ้ม  เพราะการยิ้มแสดงถึงความรัก  ความชอบ              ความเป็นมิตร 
*       ผู้ฟังหรือคู่สนทนาโต้เถียงกับท่าน  
                   จงหลีกเลี่ยงการโต้เถียง  ควรรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว  ใช้ความสุขุมรอบคอบ  ประนีประนอม  และเห็นอกเห็นใจ

*       ผู้ฟังหรือคู่สนทนาตำหนิติเตียนหรือกล่าวโทษท่าน
                   จงพูดปรักปรำลงโทษตัวเองในประการต่าง ๆ   ซึ่งจะเป็นการลดความขุ่นเคืองของผู้ฟังลงได้
                   จงใช้วิธีสุภาพอ่อนโยน  นุ่มนวล  แสดงความเป็นมิตร
*       เมื่อพูดกับฝูงชนที่กำลังคลั่งแค้นในลักษณะที่บ้าคลั่ง  
                   จงหลีกเลี่ยงการให้เหตุผลเมื่อแรกพบ   
                   วิธีที่ดีที่สุดคือ  พยายามพูดให้ฝูงชนรู้สึกว่าเราเห็นใจเขา และเป็นฝ่ายเดียวกับเขา     พร้อมกับพยายามพูดชักจูงเพื่อเบนความ  สนใจหรือได้คิด ได้ไตร่ตรอง   จากนั้นจึงเสนอแนะให้พวกเขาหาทางออกด้วยวิธีอื่นต่อไป
*       มื่อพูดกับฝูงชนที่เสนอข้อเรียกร้อง  
                   ผู้พูดจะต้องตั้งสติให้มั่น  อย่าแสดงอาการตกใจหรือรู้สึกหวาดหวั่นมากเกินไป 
ไม่ควรจะตอบรับหรือตอบปฏิเสธทันที  ควรพูดรับแต่เพียงว่า 
                   จะขอรับข้อเสนอทั้งหมดไว้ให้ผู้มีอำนาจพิจารณา”   หรือ
หากท่านเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด   อาจตอบอย่างมีความหวังว่า  
                   ขอรับข้อเรียกร้องทั้งหมดนี้ไว้พิจารณา และจะให้ความเป็นธรรมแก่ ทุกคน
*       เมื่อพูดกับฝูงชนที่บีบคั้นให้ตอบคำถามที่ไม่มีทางเลือก  
     เช่น  “จะจัดการหรือไม่”   “จะทำหรือไม่”   “จะเพิ่มเติมหรือไม่”   หรือ   “จะแก้ไขหรือไม่”  
    ควรตอบว่า   ตนยังไม่ทราบข้อเท็จจริง จะต้องทราบข้อเท็จจริงเสียก่อนจึงจะตอบให้ทราบ โดยพยายามใช้คำพูดแสดงความตั้งใจที่จะช่วยเหลือ และให้ความร่วมมือ   เช่น พูดว่า เห็นใจเขา   เข้าใจพวกเขาดี  จะพยายามหาหนทางแก้ไขโดยเร็วที่สุด  จะประชุมกรรมการด่วน จะพิจารณาให้คำตอบโดยเร็วที่สุด  เป็นต้น
                  
ข้อคิดเพิ่มเติมอื่นๆ..
บุคลิกภายนอก บุคลิกภายนอกสำคัญที่เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญคือการแสดงออกทางสายตา
            ความรักที่ไม่แสดงออก = ฆาตกรรม
            โปรดแสดงออก กับคนที่ท่านรัก ในบ้าน ให้เขารู้สึกได้ว่า เรารัก
การแต่งกาย ชุดสูท การปิดกระดุมสูท
            กรณีมี 2 เม็ด       ให้ปิด เม็ดบน      เว้นเม็ดล่างให้เคลื่อนที่สะดวก
            กรณีมี 3 เม็ด       ให้ปิด เม็ดกลางเม็ดเดียว เว้นเม็ดบนและเม็ดล่างให้เคลื่อนที่สะดวก
ไทค์      ผูกแบบสามเหลี่ยม (อังกฤษ)
            หรือแบบ แบบอเมริกัน ก็ได้
ไทค์      สีไม่ฉูดฉาด
เสื้อ       สี ขาว ครีม หรือสี อ่อน     
ถุงเท้า    ดำ หรือ กรมท่า  2 สี เท่านั้น

หลักพุทธ สอนให้มองโลกตามความเป็นจริง
พุทธศาสนา ไม่ได้สอนให้มองโลกในแง่ดีเพียงอย่างเดียว หรือ ไม่ได้สอนให้มองโลกในแง่ร้ายเพียงอย่างเดียว แต่ สอนให้มองโลกตามความเป็นจริง
            ถ้ารู้ว่า พายุจะมี พายุจะมา ก็ให้มองโลกตามความเป็นจริง ปรับใบเรือให้เหมาะกับทิศทางที่ต้องการได้
เด็ก3 คน ได้เงิน 20 บาท ซื้อ เมล็ดพันธุ์ผัก
            คนที่ 1 มองโลกในแง่ดี
            คนที่ 2 มองโลกในแง่ร้าย  ร้องให้ เสียใจ
            คนที่ 3 มองโลกในแง่ดี เสนอทางออก

การPresent ที่ดีคือ 5 นาที 1 page presentation
                   ทักษะการบริหารเวลา และการสกัดองค์ความรู้ที่มีจากสาระที่มีและสามารถสรุปข้อเสนอ ให้จบได้ภายใน 5 นาทีที่มีค่า ( ทักษะการสื่อสาร) เพราะในความเป็นจริงผู้บริหารไม่มีเวลา ที่จะมานั่งรับฟังจาก ผู้ใต้บังคับบัญชา ได้ทุกคน ฉะนั้น ผู้ที่สามารถสื่อสารได้ดีนั้น บางครั้งแค่ 1 นาที ในลิฟ์ หรือ 2 นาที ในห้องน้ำ ก็สามารถอนุมัติโครงการงบประมาณ 10 ล้าน 100 ล้านได้ เป็นต้น


การระดมสมอง(Brain Storming)
STORM = พายุ พายุ หมุนเร็วมาก จนตรงกลางดูเหมือนนิ่ง นิ่ง จนเกิดปัญญา
คือปัญญาที่เกิดขึ้น โดยไม่มีการตระเตรียม
เป็นศักยภาพ พื้นฐานตัวหนึ่ง ที่สำคัญมากๆ ในชีวิตเราที่ทุกคนมีอยู่ในตัว คนเดียวก็ทำได้
เวลาที่เกิด ไม่แน่นอน เช้า กลางวัน เย็น หรือ บางครั้งเกิด ปิ๊งแว๊บ ขึ้นมา ก็ได้
ไม่เลือกสถานที่
เป็นการเกิด ที่ไม่มีเหตุผล
วิธีการเกิด จะเกิดจากการเชื่อมของสะพานระหว่าง ความรู้(สมองซีกซ้าย) กับ ความคิด หรือ ความรู้สึก (สมองซีกขวา)
ที่สั่งสมมาในอดีต
ผลที่ได้คือ เกิดนวตกรรมใหม่ๆ เกิดสิ่งประดิษฐ์ใหม่ เกิดนักประดิษฐ์ใหม่ๆ
เช่น เกิดแนวคิดการนำเสนอ เรื่องการสื่อสาร 123 พันธุ์ทอง 123  
(คุยกับคุณเพ็ญประกาย:ตึกพิเศษ โรงพยาบาลยโสธร มีชื่อเป็นห้อง ชื่ออำเภอต่างๆ
คุยกับคุณ บุษบา นอกจาก ใจแล้ว เพื่อ การเห็นคุรค่าของพนักงาน)

การระดมความคิด  
มีการตระเตรียม
รวบรวมความคิดของคนหลายคน
เกิดจากการประชุมเพื่อหาข้อสรุป
เกิดจากเวทีสถานที่การประชุม
เกิดข้อตกลงตามเหตุตามผล
เป็นความคิดรวบยอด ที่ผ่านการกลั่นกรองรวมกัน
ผลที่ได้คือ โครงการ แผนงานต่างๆ



No comments:

Post a Comment