วันที่ 19 ส.ค. 2553 ผัวจูงเมียตาบอดเดินเท้ากว่า1พันกม.ถวาย'ในหลวง-ราชินี':ผม นายพันธุ์ทอง จันทร์สว่าง ประทับใจข่าวนี้ จาก http://www.thairath.co.th
สุดทรหด !! ผัวจูงเมียตาบอดเดินเท้ากว่า 1,000 กม. จากกรุงเทพถึงเชียงรายถวาย "ในหลวง-ราชินี" ลั่นแม้ระยะทางจะไกล แต่ไม่เป็นอุปสรรคในการทำความดี...
เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 18 ส.ค. 2553 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านและผู้สัญจรผ่านถนนสายเอเชียบริเวณ ต.ธนู อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า พบสามีและภรรยาที่ตาบอดทั้งสองข้าง เดินจูงมืออยู่ริมถนน โดยมีกระเป๋าสัมภาระ 4 ใบ และที่คอของทั้งคู่มีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ขนาดใหญ่ห้อยอยู่ จึงเดินทางไปตรวจสอ
ทราบชื่อทั้งสอง คือ นายนิพนธ์ เอี่ยมสะอาด อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 127 ซ.เพชรเกษม 15 แยก 9 แขวงวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ และ น.ส.ลำใย สท้านเสียง อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 62/1 ม.12 ต.หนองโพรง อ.ศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี สองสามีภรรยา โดยนายนิพนธ์ กล่าวว่า ตั้งใจเดินเท้าจากกรุงเทพมหานคร ถึง จ.เชียงราย เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โดยตนและภรรยา ออกเดินทางจากสวนอัมพร ตั้งแต่เวลา 03.09 น. เมื่อวันที่ 12 ส.ค. ที่ผ่านมา มุ่งหน้าสู่ด่านชายแดน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งจะเดินเพียงวันละ 10 กม. เท่านั้น เนื่องจากภรรยาของตนมองไม่เห็น ทั้งนี้ สาเหตุที่เลือกวิธีการเดินเท้า เพราะไม่มีเงินที่จะไปร่วมทำบุญเหมือนคนอื่นๆ จึงใช้การเดินเท้าแทน ผ่านจังหวัดไหน มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ก็จะแวะขอพรและอธิษฐานให้ทั้งสองพระองค์มีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง และ มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน และอยากให้รู้ว่า คนพิการก็ทำได้เช่นกัน
นายนิพนธ์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา ได้รับความช่วยเหลือจากประชาชนที่สัญจรผ่านไป–มา เรื่องอาหารการกิน บางคนก็เข้ามาให้กำลังใจในการทำความดีครั้งนี้ ซึ่งตนจะเดินทางให้ถึงจุดหมายในวันที่ 5 ธันวาคม 2553 รวมระยะทางกว่า 1,000 กม. ใช้เวลาในการเดินทางครั้งนี้ 116 วัน หรือประมาณ 4 เดือน
ด้าน น.ส.ลำใย กล่าวว่า ตั้งใจเดินทางไป จ.เชียงราย กับสามี เพราะเป็นวิธีการเดียวที่จะแสดงออกให้เห็นว่าคนพิการสามารถทำความดีถวายในหลวงและพระราชินีได้เช่นกัน ที่ผ่านมาแม้จะรู้ว่าระยะทางยาวไกล แต่ก็ไม่เคยท้อ จะทำฝันของตนและสามีให้เป็นจริงให้ได้ ถึงแม้ตนจะพิการทางสายตา ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำความดีครั้งนี้แต่อย่างใด.
No comments:
Post a Comment