8/25/10

แม้แต่พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลยังทรงให้ข้อมูลสำมะโนประชากร ข้อคิดที่ดีสำหรับชาวไทยทุกคน



วันที่ 23-25 สิงหาคม 2553 แม้แต่พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลยังทรงให้ข้อมูลสำมะโนประชากร ข้อคิดที่ดีสำหรับชาวไทยทุกคน : วันนี้ ผม นายพันธุ์ทอง จันทร์สว่าง ขอชื่นชมข่าวดีดีนี้ จาก http://nsosurin.blogspot.com...จีราวรรณ บุญเพิ่มผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ให้ข้อมูลว่า งานสำมะโนประชากรเป็นงานใหญ่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงริเริ่มเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ศ.ปราโมทย์ ประสาทกุล บันทึกเหตุการณ์เมื่อ 100 ปี ที่ผ่านมา เกี่ยวกับ สำมะโนประชากร เช่น
“ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงเรียกประชุมเสนาบดีตอน 3 ทุ่ม พระองค์ทรงเป็นประธานประทับที่หัวโต๊ะ รับสั่งว่า เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องรู้เรื่องไพร่พลทั้งหลายในประเทศว่ามีเท่าไหร่ และรับสั่งให้ไปดำเนินการ เราจึงทราบว่าครั้งนั้นมีประชากร (ในสยามประเทศ) 8 ล้านคน ปัจจุบันตัวเลขคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 65-67 ล้านคน
“การทำสำมะโนเมื่อ 100 ปีก่อนแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ ปีนี้จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่ทุกคนจะได้มีส่วนร่วมในงานครบรอบ 100 ปี การสำมะโนประชากร ซึ่งเราเรียกโครงการนี้ว่า “ร้อยปีสำมะโนประชากรไทย เทิดไท้องค์ราชันย์”
ผอ.จีราวรรณยังบอกอีกว่า ในหลวงรัชกาลปัจจุบันก็ทรงสนพระทัยการทำสำมะโน เมื่อ 2 ครั้งที่แล้ว ปี 2533 กับปี 2543 โปรดฯให้เข้าเฝ้าฯถวายการรายงานและถวายการสัมภาษณ์
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถือว่าทรงเป็นประชากรไทยคนหนึ่ง ปี 2543 พระราชทานสัมภาษณ์แก่คณะผู้บริหาร ซึ่งปีนั้นดิฉันได้มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯด้วย นอกจากโปรดฯให้เราถวายคำถามแล้ว ทรงมีพระราชดำริต่างๆ เกือบ 2 ชั่วโมง”
ยกตัวอย่าง อย่างใน ปี 2533 ทางคณะกราบทูลถามว่า ในวังใช้เชื้อเพลิงหลักๆ ในครอบครัวคืออะไร พระองค์บอก “ใช้ไฟฟ้า” น้ำดื่มที่ใช้ในครัวเรือนนี้ปกติท่านดื่มจากที่ไหน น้ำบ่อ ประปา น้ำขวด พระองค์ตรัสว่า”น้ำขวด”พอพระราชทานสัมภาษณ์เสร็จ ท่านทรงมีดำริว่า ในวังนี้จะมีราชองครักษ์มาเยอะพระราชทานเลี้ยงอาหาร แต่มาแล้วก็กลับไปอย่างนี้นับว่าเป็นสมาชิกในครัวเรือนของพระองค์หรือเปล่า ฟังแล้วก็รู้ว่าพระองค์ทรงชี้แนะมาแล้วว่า นิยามต้องชัดเจน เพราะราชองครักษ์มาอยู่ที่นี่ ไม่ใช่สมาชิกในครัวเรือนนี้เราก็ต้องมากำหนดคำจำกัดความใหม่
“ส่วนเมื่อปี 2543 ทรงเล่าว่า พระองค์สนพระทัยในงานสถิติมาก อย่างเวลาฝนตกก็จะโปรดฯให้นำกระป๋องมาตั้งๆๆ แล้วเอามาวัดปริมาณ แล้วก็เฉลี่ยก็ได้ปริมาณน้ำฝน รวมทั้งเวลาที่เสด็จฯทรงเยี่ยมพสกนิกรจะทรงใช้แผนที่ ซึ่งปีนี้ทางสำนักสถิติก็จะมีการถวายแบบสอบถามเข้าไปในวังเช่นเคย”
“อยากให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการทำสำมะโนประชากร และยอมสละเวลาเพียงแค่คนละ 10-15 นาทีต่อการให้สัมภาษณ์เพื่อว่าเราจะได้ตัวเลขมาใช้ในการวางแผนเพื่อการพัฒนา ประเทศ ถ้าใครไม่สะดวกที่จะให้สัมภาษณ์โดยตรง สามารถที่จะโทร.เข้าไปตอบแบบสอบถามได้ที่ สายด่วน 1111 หรือผ่านทางอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ www.nso.go.th เพื่อประเทศเราจะได้มีฐานข้อมูลดีๆ ไว้ใช้”
ในการณ์นี้นอกจากการถามเกี่ยวกับเรื่องประชากร ผอ.จีราวรรณบอกว่า ยังมีการจัดทำเกี่ยวกับจำนวนที่อยู่อาศัยในประเทศไทยด้วยเพื่อให้ได้เป็น “การสำมะโนประชากรและเคหะ”เป็นการนับจำนวนและแจกแจงรายละเอียดของคนและที่ อยู่อาศัย ณ ที่ที่เราพบจริงๆ ในวันสำมะโน
ด้วยเหตุนี้ในทุกสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งตามเพิงใต้สะพาน จะต้องเข้าไปตรวจดูว่ามีคนอยู่หรือไม่ เพราะถ้ามี ถือว่าเป็น”ที่อาศัย”ก็ต้องนับว่ามีคนอยู่จำนวนเท่าไร และคนที่อยู่นั่นเป็นใคร
“สิ่งที่ท้าทายคือ เรามีปัญหาเรื่องแรงงานข้ามชาติมาก ทำอย่างไรจึงจะได้ตัวเลขที่ถูกต้องได้รายละเอียดที่ชัดเจน เราต้องพยายามหาทางทำเครือข่าย ทำการประชาสัมพันธ์ให้เห็นถึงประโยชน์ของการให้ความร่วมมือตรงนี้”
อีกกรณีตัวอย่างที่ผลจากการสำมะโนประชากรช่วยชี้ทิศทางในอนาคตของประเทศ อย่างชัดเจน คือความกังวลที่ ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ”ซึ่งจากสถิติของประชากรผู้สูงอายุในปี 2546 อยู่ที่11% นั่นหมายความว่า คน 10 คนเดินมามีคนสูงอายุ 1 คน
และคาดว่า ปี 2563 หรืออีก 10 ปีข้างหน้าประชากร 1 ใน 4 ของประเทศ (ประมาณ17-18%) จะเป็นผู้สูงอายุซึ่งไม่ว่าจะในแง่ของธุรกิจ หรือภาครัฐจะต้องมีแผนชัดเจนที่จะมารองรับ เพราะในขณะที่ผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นจำเป็นต้องมีเงินสำรองสำหรับให้ความ ดูแล โดยเฉพาะในส่วนของค่ารักษาพยาบาล
“วันนี้คนที่รับภาระคือคนวัยทำงาน อายุ15-60 ปี ซึ่งในอนาคตคนกลุ่มนี้จะกลายเป็นคนแก่ ขณะที่เด็กเกิดน้อยลง เพราะคนรุ่นใหม่ไม่อยากมีภาระ ไม่อยากแต่งงาน หรือ แต่งงานแล้วก็ไม่อยากมีลูก เมื่อนั้นจะเกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย หนึ่งในนั้นคือ ปัญหาเรื่องแรงงาน ฉะนั้น ต้องจัดการเรื่องแรงงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นมาก เพื่อที่ว่าจะได้งานที่มากขึ้นด้วยจำนวนแรงงานที่น้อยลง”
ผอ.สำนักสถิติย้ำว่า ปัญหาที่เกิดจากยุคผู้สูงอายุกำลังเกิดขึ้นแล้วกับหลายๆ ประเทศที่มีทัศนคติเรื่องการแต่งงาน การมีบุตรลดลง เช่นสิงคโปร์ ญี่ปุ่น รวมทั้งประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย ฉะนั้น เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาเสียแต่เนิ่นๆประเทศไทยต้องเริ่มวางแผนการจัดการแล้ว ต้องเร่งรัดการวางแผนกำลังคนของประเทศให้ดีซึ่งเราจะได้เห็นภาพที่ชัดเจน ขึ้นหลังจากการทำสำมะโนประชากรครั้งใหม่นี้แล้วเสร็จลง ซึ่งผลจะปรากฏให้เห็นราวปลายปีนี้
สภาพัฒน์ต้องลุกขึ้นมาวางแผนประชากรให้ดี เพราะเป็นเรื่องของโครงสร้างของประเทศซึ่งระยะเวลา 10 ปีนั้นไม่นานเลย–จบ

No comments:

Post a Comment