10/6/16

4 ต.ค.2559ทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล เริ่มแล้ว_คำเขื่อนแก้ว ที่ยโสธร โครงการ 3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทย

4 ต.ค.2559ทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล เริ่มแล้ว_คำเขื่อนแก้ว ที่ยโสธร โครงการ 3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทย
วันที่ 4 ตุลาคม 2559 วันนี้ ในที่ประชุม กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายสมศักดิ์ บุญทำนุก นายอำเภอคำเขื่อนแก้ว
อำเภอคำเขื่อนแก้ว นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล อสม.
และแขกผู้มีเกียรติ กว่า 500 คน เข้าร่วมกิจกรรม การเปิด โครงการ “3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทย เทิดไท้องค์ราชัน
ณ หอประชุม 100 ปี อำเภอคำเขื่อนแก้ว






















                   รายละเอียดตามคำกล่าว รายงาน ดังนี้
กระผม ในนาม กลไกลสุขภาพ อำเภอคำเขื่อนแก้ว ขอนำเรียนความเป็นมา พอสังเขป ดังนี้
                   การบริโภคยาสูบส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภคยาสูบและผู้ที่ได้รับสัมผัส ควันบุหรี่ส่งผลต่อผู้ที่สูบและผู้ที่สัมผัส ทำให้เกิดอาการป่วยเป็นโรคและเสียชีวิตในเวลาต่อมา องค์การอนามัยโลกได้ตั้งเป้าหมายในการลดการสูบบุหรี่ในปี 2568 ให้ลดลง ร้อยละ 30 
                   จากการสำรวจ ในปี 2558 พบว่าประชากร 15 ปีขึ้นไป สูบบุหรี่ 11.7 ล้านคน
และจากการศึกษาภาระทางเศรษฐกิจจากโรคที่มีสาเหตุเกี่ยวข้องจากการสูบบุหรี่ใน พบว่า มีคนตายจากโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ในกลุ่มคนอายุ 30 ปีขึ้นไป 50,710 คน หรือ ประมาณร้อยละ 12 ของการตายทั้งหมด ซึ่งโรคปอดอุดกลั้นเรื้อรังเป็นสาเหตุการตายหลักของโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ รองลงมาคือโรคมะเร็งปอด โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคมะเร็งอื่นๆ ตามลำดับ และ จากการประมาณการความสูญเสียทางเศรษฐศาสตร์จากโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ พบว่า ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดจากความสูญเสียทางเศรษฐศาสตร์เท่ากับ ห้าหมื่นสองพันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.5 ของ GDP โดยค่าใช้จ่ายที่เกิดจากความสูญเสียทางเศรษฐกิจนี้ คิดเป็นร้อยละ 13 ของค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพทั้งหมด
และคิดเป็น ร้อยละ 73 ของงบประมาณทางด้านสาธารณสุข
                     ในภาพรวมของประเทศ กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ร่วมกับชมรมอาสาสมัครสาธารณสุขแห่งประเทสไทย ในการดำเนินงานในทุกด้าน เพื่อให้ผู้สูบบุหรี่ ได้เกิดการตัดสินใจเลิกสูบบุหรี่ในประเทศไทยให้เกิด ความต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายชักชวน เชิญชวน ท้าชวน ให้มีผู้เลิกสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่องให้ได้ไม่น้อยกว่า 6 เดือนหรือตลอดชีวิต ให้ได้จำนวน 3 ล้านคนในเวลา 3 ปี (ในปีพ.ศ. 2559 ถึงปี 2561) จังหวัด ยโสธร ปีละ 10,000 คน  และ อำเภอคำเขื่อนแก้ว ปีละ 1,000 คน ซึ่งหากมีการดำเนินการ
โดยใช้กระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมของพื้นที่ จัดกิจกรรมรณรงค์ เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ก่อให้เกิดการจัดกิจกรรมรักษ์สุขภาพอย่างต่อเนื่องในทุกพื้นที่ และเชิญชวนให้คนสูบบุหรี่ ได้เข้าร่วมกิจกรรม
จนสามารถเลิกสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่อง ในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน โดยอาศัยความเข้มแข็งของเครือข่าย กลไกสุขภาพ และ อสม. ที่มีอยู่แล้วในทุกพื้นที่ จะส่งผลให้สามารถลดอัตราการเจ็บป่วย
และการสูญเสียทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ได้อย่างต่อเนื่องยั่งยืน จึงได้จัดทำโครงการนี้ขึ้น 
                   ทั้งนี้ โดยการสนับสนุนของ กระทรวงสาธารณสุข และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  และในปี 2559 นี้ เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช
รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระชนมายุครบ 89 พรรษา  การที่ประชาชนในชาติและผู้สูบบุหรี่  จะได้มีโอกาส
ทำกิจกรรมสำคัญอันถือเป็นคุณงามความดี ถวายแด่องค์ในหลวง ฯ จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่นอกจากจะเป็นการสร้างเสริมสุขภาพและลดความสูญเสียจากพิษภัยบุหรี่ของคนในชาติแล้ว ยังนับเป็นการถวายความจงรักภักดีและร่วมเฉลิมฉลองในวโรกาส ที่พระเจ้าอยู่หัว ฯ มีพระชนมายุ ครบ90 พรรษา
ในปี 2560 
                   โดยวัตถุประสงค์เพื่อจัดกิจกรรมรณรงค์และขับเคลื่อนให้ประชาชนเห็นความสำคัญของพิษภัยจากการสูบบุหรี่ ผลกระทบและความสูญเสีย ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม นำไปสู่การเลิกสูบบุหรี่และการลงมือปฏิบัติปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่ดี และ มีการจัดกิจกรรมหรือกลุ่มกิจกรรมรักษ์สุขภาพ อย่างต่อเนื่องจากระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอและจังหวัดเพื่อให้เป็นพื้นที่รวมตัวกันทำกิจกรรมออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ  (เลิกเหล้า) เลิกบุหรี่ ทั่วประเทศไทย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                   บัดนี้ได้เวลาอันสมควรแล้ว กระผมขอเรียนเชิญ ท่านประธาน ให้เกียรติ
ร่วมถ่ายภาพ และกล่าว ให้กำลังใจ ผู้ร่วมและสนับสนุน โครงการ “3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทย เทิดไท้องค์ราชัน” เพื่อเป็นเกียรติ แก่ผู้เข้าร่วมขับเคลื่อนโครงการต่อไป... ขอเรียนเชิญครับ

คำกล่าวเปิด โครงการ “3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทย เทิดไท้องค์ราชัน”
ท่าน สาธารณสุขอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการ และ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกท่าน
                   กระผมมีความรู้สึกเป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่พวกเรา ได้มาร่วม
กิจกรรม โครงการ “3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทย เทิดไท้องค์ราชัน”ในวันนี้
                   จากคำกล่าวรายงาน พบว่า มีคนตายจากโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่
และมีค่าใช้จ่ายที่สูญเสียทางเศรษฐศาสตร์ ถึงปีละ ห้าหมื่นสองพันล้านบาท หรือร้อยละ 0.5
ของ GDP นั้น เป็นการสูญเสียมากมาย
                   และจากการที่ พวกเราจะได้ช่วยกัน ขับเคลื่อนให้กำลังใจผู้เกี่ยวข้องทุกส่วน
เพื่อให้ผู้สูบบุหรี่ ได้เกิดการตัดสินใจเลิกสูบบุหรี่ให้เกิดความต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมาย
ชักชวน เชิญชวน ท้าชวน ให้มีผู้เลิกสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่อง ให้ได้ไม่น้อยกว่า 6 เดือนหรือตลอดชีวิต ให้ได้จำนวน 3 ล้านคน ในระยะเวลา 3 ปี ทั้งประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ โดยเฉพาะ ปีละ 1,000 คน ในเขต อำเภอคำเขื่อนแก้ว ของเรา หากพวกเราร่วมมือกันและให้กำลังใจกันอย่างจริงจัง
                   ในปี 2559 นี้ เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระชนมายุครบ 89 พรรษาการที่ประชาชนในชาติและผู้สูบบุหรี่  จะได้มีโอกาสทำกิจกรรมสำคัญอันถือเป็นคุณงามความดี ถวายแด่องค์ในหลวง ฯ ร่วมกัน ด้วยการเลิกสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 3 ปีต่อจากนี้ไป จนถึงปี 2561  จึงนับเป็นโอกาสอันดี ที่นอกจากจะเป็นการสร้างเสริมสุขภาพและลดความสูญเสียจากพิษภัยบุหรี่ของคนในชาติแล้ว ยังนับเป็นการถวายความจงรักภักดีและร่วมเฉลิมฉลองในวโรกาส ที่พระเจ้าอยู่หัว ฯ มีพระชนมายุ ครบ 90 พรรษา ในปี 2560 และ 91 พรรษา ในปี 2561
                   ขอขอบคุณ กลไกสุขภาพคำเขื่อนแก้วทุกภาคส่วน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรม ในวันนี้ และจะต้องนำไปจัดกิจกรรมหรือกลุ่มกิจกรรมรักษ์สุขภาพ อย่างต่อเนื่องจากระดับหมู่บ้าน ตำบล เพื่อให้เป็นพื้นที่รวมตัวกันทำกิจกรรมออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ (เลิกเหล้า) เลิกบุหรี่ ได้ต่อไป
                   ขอให้กิจกรรม “3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทย เทิดไท้องค์ราชัน” บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ตั้งไว้ ทุกประการ

                   ในโอกาสนี้ นายสมศักดิ์ บุญทำนุก ได้อนุญาตให้ นายสุนทร วิริยะพันธ์ นักวิชาการสาธารณสุข จากสำนักงานสาธารณสุขอำเภอคำเขื่อนแก้ว ได้เข้าร่วมให้ความรู้แก่ผู้ประชุม การดำเนินงานตามวาระสะอาดดี  อำเภอคำเขื่อนแก้ว ด้วย  ทั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อให้บ้านเรือน สะอาด ปราศจาคโรค และให้ดำเนินงาน 3 เก็บ 3 โรค เพื่อเป็นการตัดวงจรการขยายพันธุ์และป้องกันโรค ที่อาจมากับยุงลาย ได้แก่ ไวรัสซิกา โรคไข้เลือดออก และโรคชิคุนกุนยา
                   ความรู้เรื่อง ไวรัสซิกา ภัยร้ายจากยุงลาย
 ไวรัสซิกาหรือไข้ซิกาเป็นโรคที่มียุงลายเป็นพาหะ ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถหายได้เองภายใน 7วัน แต่ที่ต้องระวังคือ หญิงตั้งครรภ์ ที่หากติดเชื้อแล้วอาจทำให้บุตรในครรภ์มีศีรษะเล็กกว่าปกติได้ และผู้ป่วยบางคนมีการอักเสบของเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้
                   ไวรัสซิกา ได้มีการระบาดเริ่มต้นที่ประเทศบราซิลและแพร่กระจายไปทั่วโลก ทำให้เมื่อ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 องค์การอนามัยโลก ประกาศให้การระบาดของไวรัสซิกา เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ
กลุ่มเสี่ยงของไวรัสซิกา
กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อไวรัสซิกามากที่สุดคือกลุ่มสตรีตั้งครรภ์ซึ่งหากติดเชื้อแล้วมีความเสี่ยงจะทำให้ทารกในครรภ์ได้รับอันตรายด้วย คือจะทำให้เด็กมีศีรษะเล็กกว่าปกติ
ไวรัสซิกาติดต่อได้อย่างไร
1. ไวรัสซิกาเป็นเชื้อไวรัสที่มียุงลายเป็นพาหะ ดังนั้นการติดต่อจึงมาจากการ ถูกยุงที่มีเชื้อกัด โดยยุงลายที่มีเชื้อไวรัสซิกา เชื้อไวรัสสามารถถ่ายทอดไปยังไข่ยุงลายได้
2. ติดต่อได้ทางเลือด หรือแพร่จากมารดาที่ป่วยสู่ทารก ในครรภ์
3. ติดต่อกันได้ผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ เชื้อไวรัสซิกาอยู่ในน้ำอสุจิของผู้ป่วย ได้ถึง 6 เดือน
อาการของผู้ติดเชื้อไวรัสซิกา
อาการคล้ายคลึงกับอาการของโรคไข้เลือดออกแต่ไม่รุนแรง ได้แก่ มีผื่นแดงขึ้นตามตัว ไข้ขึ้นสูง เยื่อบุตาอักเสบ ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ รู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว ปวดหัวแต่อาการเหล่านี้สามารถทุเลาลงภายในเวลา 2-7 วัน หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที
การตรวจวินิจฉัย
การตรวจวินิจฉัย ในระยะ 7 วันหรือช่วงทีมีไข้สามารถตรวจพบเชื้อในเลือด(แพร่เชื้อได้) และใน 30 วัน สามารถตรวจพบเชื้อในปัสสาวะ (แพร่เชื้อได้น้อยมาก)
ไวรัสซิการักษาอย่างไร
แม้จะเป็นโรคที่ไม่รุนแรง แต่โรคไวรัสซิกา ก็ยังเป็นโรคที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน หรือวิธีการรักษาที่แน่ชัด ทำได้แค่เพียงรักษาตามอาการเช่นเดียวกับโรคไวรัสอื่น ๆ ที่มียุงลายเป็นพาหะ ดังนั้นผู้ป่วยควรพักผ่อนมาก ๆ และดื่มน้ำให้เพียงพอ ทานยาตามแพทย์สั่ง
วิธีป้องกันการติดเชื้อไวรัสซิกา
1. วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ พยายามอย่าให้ยุงกัดโดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์ เช่น ทายากันยุงที่ไม่มีส่วนผสมของสารเคมี นอนกางมุ้ง
3. กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายให้สิ้นซาก เพื่อเป็นการตัดวงจรการขยายพันธุ์และป้องกันโรคที่อาจมากับยุงลาย ได้แก่ ไวรัสซิกา โรคไข้เลือดออก โรคไข้เหลือง และโรคชิคุนกุนยา
มีข้อสงสัย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422
ด้วยความปารถนาดีจาก เครือข่ายกลไกสุขภาพสุขภาพอำเภอคำเขื่อนแก้ว

No comments:

Post a Comment